ภาคต่อของ SHAZAM! เรื่องราวของกลุ่มเด็กที่ได้รับพลังของเทพเจ้าจากพ่อมด กับศึกครั้งใหม่ที่มีชะตาชีวิตของโลกเป็นเดิมพัน เมื่อกลุ่มเทพเจ้ากลับมาทวงพลังของพวกเขาคืน
SHAZAM!
FURY OF THE GODS
David F. Sandberg
(2023)
ภาคต่อของ SHAZAM! หลังจากจัดการกับ Dr. Thaddeus Sivana (Mark Strong) สำเร็จในภาคที่แล้ว Shazam (Zachary Levi) ใช้พลังยอดมนุษย์หักไม้เท้าเวทมนตร์ของพ่อมด (Djimon Hounsou) โดยที่ไม่รู้ว่าพลังของมันเป็นสิ่งที่คอยปกป้องโลกมนุษย์จากการรุกรานของเหล่าทวยเทพโบราณ
ในอดีตกาลมีเทพเจ้าชื่อ Atlas ผู้มีพละกำลังมหาศาล เขาใช้พลังเพื่อยึดครองทุกสิ่งตามที่เขาต้องการ โดยไม่มีใครสามารถต่อกรได้ จนกระทั่งพ่อมด Shazam ใช้ไม้เท้าเวทมนตร์ดูดพลังของเทพเจ้าทั้งหมด และปิดผนึกเอาไว้ ทำให้เหล่าทวยเทพไม่สามารถก้าวข้ามมาโลกมนุษย์ได้
หลังจากไม้เท้าเวทมนตร์ถูกหักจนสิ้นพลัง Hespera (Helen Mirren) และ Kalypso (Lucy Lui) บุตรีของ Atlas ก็เดินทางมาที่ประเทศกรีซ เพื่อชิงไม้เท้าเวทมนตร์ที่กักเก็บพลังของเทพเจ้า เมื่อได้พลังพิเศษกลับมา พวกเธอก็ใช้มันบังคับพ่อมด Shazam ให้ซ่อมแซมไม้เท้าจนสำเร็จ
เป้าหมายต่อไปของพวกเธอก็คือตามล่าหาพวกเด็กๆ ที่ได้รับพลังจากไม้เท้าเวทมนตร์ และเมล็ดจากต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งพวกเธอเชื่อว่าจะสามารถสร้างอาณาจักรสวรรค์ขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง
SHAZAM! FURY OF THE GODS เป็นภาคต่อที่ทำได้ดี แม้ว่าตัวละครที่โดดเด่นของภาคนี้จะย้ายจาก Shazam (Zachary Levi) หรือ Billy Batson (Asher Angel) มาเป็น Freddy Freeman (Jack Dylan Grazer) กับเรื่องราวที่เติบโตขึ้นในช่วงวัยเปลี่ยนผ่านจากเด็กไปสู่วัยผู้ใหญ่ ที่แต่ละคนต่างก็มีความรับผิดชอบทางสังคมมากขึ้น
(ตัวละครกลุ่มเด็กก็เยอะแล้ว ยังต้องแบ่งบทให้ภาคซูเปอร์ฮีโร่ผู้ใหญ่อีก คนที่เหลือก็เลยกลายเป็นแค่ตัวประกอบ บางครั้งก็นึกนึก boy band / girl group ที่มีสมาชิกเยอะๆ จนไม่สามารถจำได้ว่าใครเป็นใคร เหมือนเป็นแผนการตลาดที่ต้องการกวาดผู้ชมทุกกลุ่ม ซึ่งต้องถูกใจสมาชิกสักคนในกลุ่ม)
ชอบมุขตลกต่างๆ ที่แทรกสอดเข้ามาได้จังหวะทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นฉากห้องของแพทย์เด็กที่มีตุ๊กตา Annabelle วางอยู่ หรือการล้อเลียน Khaleesi จาก GAME OF THRONES รวมถึงการแสดงของ Djimon Hounsou ในบทพ่อมดที่ฮากว่าภาคที่แล้วมาก
จุดที่ชอบมากอีกอย่างคือตัวละครที่มีมิติ อย่าง Hespera ที่ได้ Helen Mirren นักแสดงฝีมือดี มารับบทที่เป็นเหมือนตัวร้ายของภาคนี้ ซึ่งเป็นตัวละครที่เชื่อว่ามนุษย์ไม่คู่ควรกับพลังของเทพเจ้า และเธอมีสิทธิ์ทุกอย่างที่จะแย่งชิงพลังที่ถูกขโมยไปกลับมา ทำให้เรารู้สึกว่าการกระทำของเธอก็ไม่ได้ผิดอะไร
โดยรวมก็เป็นภาพยนตร์แอคชันซูเปอร์ฮีโรที่มีความบันเทิง ทั้งความตลกและความซาบซึ้ง คุ้มค่ากับการเข้าไปชมในโรงภาพยนตร์ สนุกกว่า BLACK ADAM และภาพยนตร์ช่วงหลังของ MARVEL อย่าง ANTMAN: QUANTUMMANIA, BLACK PANTHER: WAKANDA FOREVER, THOR: LOVE and THUNDER และ MORBIUS มาก
SHAZAM! FURY OF THE GODS ฉายรอบปฐมทัศน์ที่โรงภาพยนตร์ Fox Village ในฮอลลีวูด วันที่ 14 มีนาคม 2023 และเข้าฉายในประเทศเบลเยียม ฟินแลนด์ เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ สวีเดน วันที่ 15 มีนาคม “ชาแซม! จุดเดือดเทพเจ้า” เข้าฉายในประเทศไทย วันที่ 16 มีนาคม โดยมีรอบพิเศษหลัง 1 ทุ่ม ในวันที่ 15 มีนาคม ก่อนจะเข้าฉายในสหรัฐอเมริกา วันที่ 17 มีนาคม
มีฉากพิเศษหลังจบ 2 ฉาก ตลกดี มีการทิ้งท้ายว่าตัวร้ายภาคก่อนจะกลับมาอีก (แต่ก็อาจไม่ได้กลับมา เพราะ James Gunn ซีอีโอคนใหม่ของ DC ประกาศว่าอาจจะรีบูตแฟรนไชส์ DC Extended Universe บางส่วน)