เพื่อนสนิทสองคน Kevin O’Connor (Ezra Dewey) และ Bobby Green (Lonnie Chavis) ถูกคนร้ายลักพาตัวไประหว่างที่พวกเขากำลังหาลูกเบสบอลที่หายไป

คนร้ายนำตัว Kevin ออกจากท้ายรถ ส่วน Bobby ถูกขังทิ้งไว้ท้ายรถเพียงลำพัง โชคยังดีที่เขาสามารถพังล็อคหนีออกมาได้ก่อนที่เขาจะขาดอากาศหายใจ และพบว่าตัวเองอยู่ในโรงจอดรถของบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว เขาพยายามพาตัวเองวิ่งหนีออกจากที่นี่ แต่เขาก็ตัดสินใจย้อนกลับไปที่บ้านนั้นอีกครั้ง เมื่อเขาได้ยินเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือจาก Kevin ดังออกมาจากห้องชั้นบนของบ้าน

หลังจากที่ Bobby ลอบเข้าไปในบ้านได้สำเร็จ เขาก็แอบเห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งมาพบเจ้าของบ้านพร้อมกับมอบเงินจำนวนหนึ่งแลกกับนาฬิกาข้อมือ ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะเข้ามาในบ้าน ขณะเดียวกับที่เจ้าของบ้านขับรถออกไปที่ไหนสักแห่ง

Bobby พยายามหาทางช่วย Kevin ซึ่งถูกขังตัวอยู่ในห้องที่ล็อคกุญแจไว้ แต่ท้ายที่สุดก็หลบไม่พ้นสายตาของชายคนนั้นที่บังเอิญเห็นตัวเขา ขณะกำลังพยายามจะเปิดประตูห้อง การไล่จับจบลงด้วยอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด ชายคนนั้นกลายเป็นศพอยู่ในห้องครัว

Bobby สามารถติดต่อกับตำรวจได้ด้วยโทรศัพท์แป้นหมุนโบราณที่เขาค้นเจอในบ้าน แต่เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เมื่อฟ้าเริ่มมืด สถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายลง สัญญาณเดือนจากนาฬิกาข้อมือของชายคนนั้นดังขึ้น หมายถึงเวลาที่เจ้าของบ้านจะกลับมาอีกครั้ง ทำให้เขาต้องหาที่ซ่อนตัวและรีบจัดการกับศพที่อยู่ในห้องครัวก่อนที่เจ้าของบ้านจะรู้ตัว

ผลงานกำกับภาพยนตร์ยาวเรื่องแรกของ David Charbonier และ Justin Powell ที่ทั้งคู่ยังเขียนบทร่วมกันอีกด้วย ชอบตั้งแต่การผูกเรื่องที่ดูธรรมดาแต่แฝงไว้ด้วยความน่ากลัวได้อย่างแยบยล การเล่าเรื่องผ่านสายตาของเด็กที่ถูกลักพาตัวมาอยู่ในบ้านคนแปลกหน้า และการใช้มุมกล้องที่บังสายตาบางส่วนทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสภาวะเดียวกับตัวเอก จนแทบจะกลั้นหายใจเพราะกลัวว่าคนร้ายจะได้ยิน คล้ายกับเทคนิคที่ DON’T BREATHE เคยใช้ นอกจากนี้การจงใจซ่อนตัวคนร้ายไว้ช่วงครึ่งแรกยังช่วยเสริมความระทึกได้อย่างยอดเยี่ยม

แทบจะไม่เคยเห็นภาพยนตร์ทริลเลอร์ที่ตัวเอกเป็นเด็ก ต้องต่อสู้เอาชีวิตรอดจากคนร้ายระดับหฤโหดขนาดนี้มาก่อน อันนี้เราจะไม่นับพวกแนวตลกอย่าง HOME ALONE

การแสดงของ Lonnie Chavis ในบท Bobby ทำให้เราเชื่อว่าเขาเป็นเด็กผู้ชายที่พยายามช่วยเพื่อนของเขาอย่างสุดความสามารถ ทั้งที่ตัวเองอาจจะโดนคนร้ายฆ่าตายก็ได้ บทที่มีตรรกะและสามัญสำนึก (แม้ว่าจะมีความบังเอิญเยอะไปนิด) ก็ดึงดูดให้เราลุ้นเอาใจช่วยตัวเอกไปด้วย ต่างจากภาพยนตร์แนวเลือดสาดทั่วไปที่ตัวละครมักจะมีการตัดสินใจแย่กว่าคนปกติ

ส่วนที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่คือการจงใจใส่ฉากที่ทำให้นึกถึง THE SHiNiNG ทั้งการใช้ขวานเป็นอาวุธ และฉากที่คนร้ายพยายามทำลายประตูด้วยขวาน ทั้งที่น่าจะหาวิธีที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ซี่งจะช่วยทำให้คนจดจำได้มากกว่าแค่มีฉากที่ยืมมาจากภาพยนตร์อีกเรื่อง (ความจริงแค่ฉากตัดนิ้วก็เป็นฉากที่น่าจดจำเพียงพอแล้ว) กับความพยายามมินิมัลทุกสิ่งจนเกิดความรู้สึกไม่ค่อยสมจริงเท่าไหร่ (ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะงบประมาณที่จำกัด)

การที่เด็กสองคนถูกลักพาตัวไป แต่ไม่มีการเอ่ยถึงชีวิตของคนรอบข้างของเด็กสองคนนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง เพื่อนหรือผู้ปกครอง ทั้งตอนเริ่มต้นและตอนจบ ราวกับว่าเด็กสองคนนี้ใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังกันแค่สองคน

THE BOY BEHIND THE DOOR ฉายครั้งแรกในงาน Fantastic Fest วันที่ 27 กันยายน 2020 ต่อมา Shudder ได้ซื้อลิขสิทธิ์เพื่อสตรีมมิงบนแพลตฟอร์มของตัวเอง และปล่อยให้สมาชิกชมได้ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2021