NOMADLAND

ภาพยนตร์ดัดแปลงจากหนังสือ Nomadland: Surviving America in the Twenty-First Century ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับปรากฏการณ์ของผู้สูงอายุ ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ในปี 2007 – 2009 หรือที่กันว่าเรียกว่า Great Recession พวกเขาเดินทางด้วยรถไปทั่วสหรัฐอเมริกา เพื่อหางานแบบไม่ประจำหรือเปลี่ยนไปตามฤดูกาล — หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในเดือนกันยายน 2017 เป็นผลงานของ Jessica Bruder นักเขียนชาวอเมริกันที่มีงานเขียนลงใน The New York Times, WIRED, New York และ Harper’s Magazine

วันที่ 31 มกราคม 2011 หลังจากที่ความต้องการใช้แผ่นยิปซัม (sheetrock) หรือ drywall ในตลาดมีจำนวนลดลงอย่างมาก ทำให้บริษัท US Gypsum ตัดสินปิดโรงงานผลิตในเมือง Empire ซึ่งเป็นเมืองของบริษัทเอง ตั้งอยู่ในรัฐเนวาดา ตั้งขึ้นในปี 1923 โดยคนงานเหมืองแร่ ต่อมาบริษัท US Gymsum ได้มาเป็นเจ้าของในปี 1948 ว่ากันว่าในช่วงยุค 1960 มีประชากรอยู่ถึง 750 คน

การปิดโรงงานทำให้พนักงานตกงานทั้งหมด ครอบครัวของพนักงานและเด็กๆ ยังคงสามารถอยู่ในเมืองได้จนถึงวันที่ 20 มิถุนายน โดยหลังจากนั้นรหัสไปรษณีย์ 89405 ซึ่งเป็นรหัสของเมือง Empire ก็ถูกยกเลิกไปด้วย

Fern (Frances McDormand) ทำงานอยู่ในโรงงานกับสามีของเธอมานาน จนกระทั่งสามีของเธอเสียชีวิตลง เธอก็ยังคงทำงานอยู่ที่นั่นต่อไป แต่เมื่อบริษัทประกาศปิดโรงงานและเมือง ทำให้เธอตัดสินใจขายของทุกอย่างทิ้ง เธอซื้อรถตู้เพื่อใช้เป็นที่อาศัยนอนและเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อหางานทำ โดยในช่วงฤดูหนาวของทุกปีเธอก็จะทำงานเป็นพนักงานแพ็คสินค้าในโกดังของ Amazon

Linda (Linda May) เพื่อนของเธอ ชักชวนให้เธอขับรถไปยังจุดนัดพบในรัฐแอริโซนา ซึ่งจัดขึ้นโดย Bob Wells เพื่อซัพพอร์ตกลุ่ม nomad หรือกลุ่มคนร่อนเร่ที่ไม่ต้องการตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งอย่างถาวร แม้ว่า Fern จะบอกปฏิเสธไป แต่ท้ายที่สุดเธอก็เปลี่ยนใจ เมื่อสภาพอากาศเย็นลงมากและเธอก็ไม่สามารถหางานในแถบนี้ได้

Home, is it just a word? Or is it something that you carry within you?

Fern ได้พบกับผู้คนมากมายที่ใช้ชีวิตเร่ร่อน และได้เรียนรู้พื้นฐานการเอาตัวรอดกับทักษะการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงสำหรับการเดินทางบนถนน เธอได้ฟังเรื่องราวชีวิตจากคนที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน

วันหนึ่งยางรถของเธอแบน ทำให้เธอต้องไปขอความช่วยเหลือจาก Swankie (Charlene Swankie) เพื่อขอให้ขับรถพาเธอเข้าเมืองไปซื้ออะไหล่ Swankie ต่อว่าเรื่องที่เธอไม่มีความเตรียมพร้อม และสอนให้เธอเรียนรู้ทักษะการเอาตัวรอดบนท้องถนน Swankie บอก Fern ว่าชีวิตเธอเหลืออีกไม่มาก แต่เธอปฏิเสธที่จะรอความตายอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมในโรงพยาบาล เธอต้องการเดินทางไปเห็นโลกกว้างและใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายอย่างที่ใจเธอปรารถนา

Shall I compare thee to a summer’s day?
Thou art more lovely and more temperate:
Rough winds do shake the darling buds of May
And summer’s lease hath all too short a date:
Sometime too hot the eye of heaven shines,
And often is his gold complexion dimm’d;
And every fair from fair sometime declines,
By chance, or nature’s changing course, untrimm’d;
But thy eternal summer shall not fade
Nor lose possession of that fair thou ow’st;
Nor shall Death brag thou wander’st in his shade,
When in eternal lines to time thou grow’st;
So long as men can breathe or eyes can see,
So long lives this and this gives life to thee.

การเล่าเรื่องชีวิตของคนเร่ร่อน ผ่านสายตาของ Fern ทำให้ผู้ชมได้สัมผัสความหลากหลายในชีวิตของพวกเขาเหล่านั้น ตั้งแต่อดีตทหารที่เคยไปรบในสงครามเวียตนามที่ตัดสินใจมาใช้ชีวิตแบบ nomad เพื่อตามหาความสงบ, คนที่ออกเดินทางเพื่อเยียวยาจิตใจ, คนที่ตัดสินใจออกเดินทางเพราะเพื่อนของเธอเสียชีวิตโดยที่ยังไม่ได้ไปล่องเรือที่เขาเพื่งซื้อมา

One of the things I love most about this life is that there’s no final goodbye. You know, I’ve met hundreds of people out here, and I don’t ever say a final goodbye. I always just say, “I’ll see you down the road.”

ได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่ละทิ้งบ้าน เพื่อมาใช้ชีวิตเร่ร่อน ออกเดินทางไปได้ทุกที่ที่พวกเขาอยากไป สังคมการแบ่งปันทั้งเรื่องราวชีวิตข้างกองไฟ และข้าวของเครื่องใช้ที่เอามาแลกกันแทนการจ่ายเงินซื้อ การส่งต่อสิ่งของเหลือใช้ให้ผู้อื่น การลาจากที่ไม่ใช่การลาครั้งสุดท้าย แต่ยังมีความหวังที่จะได้พบกันอีกครั้ง

You know, when you were growin’ up, you were eccentric to other people. You maybe seemed weird, but it was just because you were braver, and more honest than everybody else. And you could see me when I was hiding from everybody. And sometimes you could see me before I saw myself. I needed that in my life. And you’re my sister. I would have loved having you around all these years. You left a big hole by leaving.

ตัวภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวของ Fern ตัวเอกของเรื่องน้อยมาก ผู้ชมจะรู้เพียงว่าเธอมีน้องสาวที่รักเธอมาก และต้องการให้เธอกลับมาอยู่เคียงข้างเป็นครอบครัวอีกครั้ง แต่ Fern เลือกที่จะก้าวออกไปทันทีที่เธอมีโอกาส เธอแต่งงานกับผู้ชายที่รู้จักกันเพียงไม่กี่เดือน และย้ายไปทำงานที่ Empire จนกระทั่งสามีของเธอจากไป แต่เธอก็ยังเป็นคนเดียวที่ยังไม่ลืมว่า เขาคนนั้นเคยอยู่บนโลกใบนี้

cinematography ที่เป็น wide shot ทั้งแสงอาทิตย์ สีท้องฟ้า สวยมากจริงทุกฉาก การแสดงของ Frances McDormand เป็นธรรมชาติทำให้รู้สึกว่าเธอเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ อีกทั้งการถ่ายทำที่คล้ายกับสารคดีที่ติดตาม Fern ไปทุกที่ นักแสดงทุกคนก็เล่นได้ดูเป็นธรรมชาติมาก และนักแสดงเกือบทุกคนก็ใช้ชื่อจริงในภาพยนตร์ด้วย

เพลงประกอบที่เลือกมาใช้ก็ดีมาก ช่วยเสริมให้ภาพดูมีพลังขึ้นไปอีก แต่อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบการเดินเรื่องแบบเนิบนาบแนว road movie ที่ตัวเอกเดินทางไปเรื่อยๆ โดยไม่มีจุดหักมุมหรือเรื่องตื่นเต้นใดๆ

Searchlight Pictures ได้ลิขสิทธิ์การจัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่องนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ตัวภาพยนตร์เปิดฉายครั้งแรกที่งาน Venice Film Festival และ Toronto International Film Festival วันที่ 11 กันยายน 2020

Lincoln Center เปิดฉายในรูปแบบ virtual screening ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2020 เป็นเวลา 1 อาทิตย์ และเนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ทำให้กำหนดการฉายจริงถูกเลื่อนออกไป จนได้เปิดฉายเฉพาะในโรงภาพยนตร์ IMAX วันที่ 29 มกราคม 2021 ต่อมาจึงได้ฉายในโรงภาพยนตร์ปกติทั่วสหรัฐอเมริกา รวมถึงการฉายแบบ drive-in ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2021 พร้อมกับปล่อยสตรีมบน Hulu ในวันเดียวกัน

ส่วนการฉายต่างประเทศ ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถชมได้ ผ่าน Star ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Disney+ ในประเทศแคนาดาและประเทศอื่นๆ

NOMADLAND วางจำหน่ายในรูปแบบ Blu-ray และ DVD วันที่ 27 เมษายน 2021

[tds_note]NOMADLAND ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง 6 รางวัลจาก Academy Awards ครั้งที่ 93 ซึ่งจัดขึ้นที่ Union Station และ Dolby Theatre วันที่ 25 เมษายน 2021 ในสาขา Best Picture, Best Director (Chloé Zhao), Best Actress (Frances McDormand), Best Adapted Screenplay (Chloé Zhao), Best Cinematography (Joshua James Richards), Best Film Editing (Chloé Zhao) โดยสามารถคว้ามาได้ 3 รางวัลคือ Best Picture, Best Director, และ Best Actress

Frances McDormand คว้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงได้เป็นครั้งที่ 3 หลังจาก Three Billboards Outside Ebbing, Missouri และ Fargo นอกจากนี้เธอยังเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้ารางวัลออสการ์ในฐานะโปรดิวเซอร์ของ NOMADLAND ที่ได้รางวัล Best Picture และในฐานะของนักแสดงในเรื่องเดียวกัน

Chloé Zhao กลายเป็นผู้หญิงผิวสีคนแรกในประวัติศาสตร์ออสการ์ที่ชนะรางวัล Best Director ซึ่งเธอยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในสาขา Best Adapted Screenplay และ Best Film Editing อีกด้วย[/tds_note]