JUSTICE LEAGUE
Zack Snyder
(2021)
ภาพยนตร์เวอร์ชัน Director’s Cut ของ Justice League ที่ออกฉายในปี 2017 หลังจากประสบปัญหาด้านโปรดักชัน และบทภาพยนตร์ที่มีการเปลี่ยนแปลงมากมายในช่วงปี 2016 – 2017 จนในเดือนพฤษภาคม 2017 ผู้กำกับ Zack Snyder ก็ถอนตัวจากการเป็นผู้กำกับเนื่องจากการเสียชีวิตของ Autumn ลูกสาวของเขา
ทางสตูดิโอจึงจ้าง Joss Whedon เข้ามาดูแล post-production, การถ่ายซ่อม, ปรับเปลี่ยนโทนภาพยนตร์ให้สดใสขึ้น รวมถึงการตัดต่อภาพยนตร์ให้มีความยาวตามที่ทาง Warner Bros. กำหนด
แต่หลังจากที่ภาพยนตร์ออกฉาย กลับได้รับคำวิจารณ์ไม่ค่อยดีนัก และทำรายได้ได้เพียง 657.9 ล้านสหรัฐ ทุนสร้างที่สูงถึง 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งหมายความว่า Warner Bros. ขาดทุน จึงส่งผลถึงภาพยนตร์เดี่ยวของตัวละครในเรื่องทั้งหมดด้วย
แต่แฟนๆ จำนวนมากยังคงให้ความสนใจกับข่าวลือของภาพยนตร์เวอร์ชันที่เป็นของ Zack Snyder จริงๆ ที่ไม่ใช่เวอร์ชัน Joss Whedon แล้วเอาชื่อ Zack Snyder มาแปะไว้ ซึ่งในช่วงเวลานั้นทางสตูดิโอไม่มีแผนที่จะปล่อยเวอร์ชันที่เหล่าแฟนๆ ตั้งชื่อให้ว่า Snyder Cut
จนกระทั่งเดือนพฤษภาคม 2020 ผู้กำกับ Zack Snyder ก็ประกาศว่าภาพยตร์ต้นฉบับในชื่อ Zack Snyder’s Justice League จะสตรีมผ่าน HBO Max ซึ่งทางสตูดิโอต้องใส่เงินเข้าไปอีกกว่า 70 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อทำวิชวลเอฟเฟค ดนตรีประกอบ การตัดต่อรวมถึงการถ่ายทำเพิ่มเติมในเดือนตุลาคม 2020
Zack Snyder’s Justice League มีความยาว 242 นาที หรือ 4 ขั่วโมง 2 นาที ปล่อยฉายครั้งแรกทาง HBO Max ในสหรัฐอเมริกา วันที่ 18 มีนาคม 2021 ซึ่งเป็นเวอร์ชันแบบที่ตั้งใจจะฉายในโรงภาพยนตร์ IMAX สัดส่วนภาพ 1.43:1 แบ่งออกเป็น 6 ตอนย่อย โดยในเวอร์ชันที่จะฉายในโรงภาพยนตร์ IMAX จริงจะมีช่วงพักกลางเรื่อง (Intermission) 10 นาที และยังมีเพลงประกอบที่เล่นระหว่างช่วงพักอีกด้วย
สำหรับในประเทศไทยสามารถชมผ่าน HBO GO (มีค่าบริการเดือนละ 149 บาท ถ้าหากยังไม่เคยเป็นสมาชิกจะได้สิทธิ์ชมฟรี 7 วัน)
Justice League เปิดมาด้วยฉากการตายของ Superman (Henry Cavill) เพื่อย้ำว่าเป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องกับ BATMAN v SUPERMAN: DAWN OF JUSTICE สร้างอิมแพคได้มากกว่าแค่หนังสือพิมพ์ปลิวในฉบับ 2017
ฉากของ Wonder Woman (Gal Gadot) ที่มีการตัดต่อใหม่ให้เท่กว่าเดิมขึ้นไปอีก รวมถึงฉากชาว Amazons ที่เพิ่มเติมขึ้นมาช่วยสร้างอารมณ์ลุ้นอย่างต่อเนื่อง
มีการเกริ่น backstory ของตัวละครหลักทุกตัว ที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดี ไม่รู้สึกว่าเยิ่นเย้อ ทำให้ตัวละครมีมิติและดูสมเหตุสมผลกับการตัดสินใจหรือการกระทำของตัวละคร
แม้แต่ Steppenwolf (Ciarán Hinds) ซึ่งเคยคิดว่าเป็นตัวละครง่อยๆ ระดับเดียวกับ Ares ใน WONDER WOMAN ก็ยังมีการเพิ่มบท backstory ทำให้รู้สึกว่าเป็นตัวละครที่น่าสนใจขึ้นมา แต่น่าเสียดายที่มีการเปิดเผยบอสใหญ่ Darkseid จึงทำให้ Steppenwolf กลายเป็นแค่ตัวร้ายระดับรองในเรื่องนี้
ฉากรบระหว่าง Steppenwolf กับ เทพเจ้า Olympian, ชาว Amazons, ชาว Atlantis, มวลมนุษย์ รวมถึงสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว ก็ดูอลังการและโหดเหี้ยมกว่าเดิมอีก
The Flash (Ezra Miller) เวอร์ชันนี้เท่กว่าเดิมอีกหลายเท่า มุกที่ปล่อยมาก็ไม่แป้ก กลายเป็นตัวละครที่เด่นที่สุดในเรื่องเลย
เรื่องราวของ Cyborg (Ray Fisher) ก็สร้างออกมาได้ดีมาก น่าจะเป็น backstory ทีดีที่สุดเมื่อเทียบกับตัวละครตัวอื่นในเรื่องนี้
ประทับใจบทสรุปฉากจบที่ต่างจากเดิม จนแทบอยากจะลืมว่าเคยดูฉบับปี 2017 ที่ตัวร้ายแพ้แบบโง่ง่อย อันนี้คือดีมาก อีกทั้งเป็นฟิล์มต้นฉบับที่ถ่ายทำครั้งแรก จึงไม่มีหน้า Superman ที่ถูกลบหนวดด้วยคอมพิวเตอร์จนผิดธรรมชาติ
หลังฉากจบยังมีฉากพิเศษ Knightmare ซึ่งเป็น alternate reality ที่ Darkseid ประสบความสำเร็จในถอดสมการ Anti-Life บนโลกมนุษย์
Darkseid ฆ่า Lois Lane (Amy Adams) เปลี่ยน Superman มาเป็นพวกและทำลายล้างโลกมนุษย์ รวมถึงกำจัด Wonder Woman และ Aquaman (Jason Momoa) ไปอีกด้วย
ตอนแรกก็ไม่อยากเชื่อว่าแค่ตัดต่อใหม่จะทำให้ภาพยนตร์มันดีขึ้นได้แค่ไหนกัน ทั้งที่โครงเรื่องหลักยังเหมือนเดิมคือ Steppenwolf ต้องการ Mother Box ทั้งสามกล่องที่ถูกซ่อนไว้เพื่อที่จะทำลายล้างโลกมนุษย์และแปรสภาพโลกให้เป็นเหมือนดาวของตัวเอง
Bruce Wayne (Ben Affleck) จึงร่วมมือกับ Diana Prince (Gal Gadot) เพื่อตามหา Arthur Curry (Jason Momoa), Barry Allen (Ezra Miller), และ Victor Stone (Ray Fisher) มาร่วมทีมเพื่อหยุดยั้ง Steppenwolf แต่พลังของพวกเขาทั้ง 5 คนก็ยังไม่พอเพียงที่จะล้ม Steppenwolf ได้
แต่การตัดต่อใหม่ และรายละเอียดเล็กน้อย สามารถทำให้อารมณ์ของหลายฉากเปลี่ยนไปจากเดิมเลย อย่างเช่น ฉากที่ Lois Lane ถูก Alfred (Jeremy Irons) พาตัวมาเพื่อหยุด Superman ตามแผนการของ Bruce Wayne ในฉบับ 2107 ก็ถูกตัดทิ้งไป เปลี่ยนเป็น Lois Lane เห็นร่างของ Superman บนท้องฟ้าราวกับโชคชะตากำหนดไว้แล้ว จึงรีบเดินมาหยุด Superman ที่กำลังทำร้าย Batman
สรุปว่า Zack Snyder’s Justice League เป็นภาพยนตร์ฉบับ Director’s Cut ที่ควรค่าแก่การชม 4 ชั่วโมง 2 นาที
ถ้า Warner Bros. ยอมฉายเวอร์ชันนี้ หรือแบ่งเป็น 2 ภาค ฉายคนละปี อาจจะได้ผลตอบรับที่ดีกว่าฉบับปี 2017 และอาจจะได้กำไรด้วยก็เป็นได้
ส่วนที่รู้สึกขัดๆ นิดหน่อยคือ การใส่เพลงเข้ามาในช่วงแปลกๆ ไม่เข้าใจเหมือนกัน แทนที่จะช่วยให้ฉากนั้นดูมัพลังมากขึ้น กลับทำให้รู้สึกเหมือนสะดุดอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะทุกครั้งที่ Wonder Woman ปรากฏตัวขึ้นมาในฉากต่อสู้จะต้องมีเสียงร้องเพลงของชาว Amazons มันก็แปลกจริงนะ