WandaVision
Jac Schaeffer
(2021)
หนึ่งในโปรเจคมินิซีรีย์ที่อยู่ใน Marvel Cinematic Universe (MCU) ภายใต้ Disney นำเสนอคาแรกเตอร์ตัวประกอบใน MCU ที่ไม่ได้มีภาพยนตร์เรื่องยาวเป็นของตัวเอง เรื่องราวของ Wanda Maximoff/Scarlet Witch (Elizabeth Olsen) หนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม Avengers ที่มีพลังพิเศษเวทมนตร์ สามารถใช้การสื่อสารและเคลื่อนย้ายสิ่งของด้วยจิต กับ Vision (Paul Bettany) หุ่นแอนดรอยด์อดีตสมาชิกกลุ่ม Avengers ที่เกิดมาจากปัญญาประดิษฐ์ J.A.R.V.I.S ของ Tony Stark และ Ultron รวมกับพลังของ Mind Stone ซึ่งเขาถูก Thanos ฆ่าในภาค Infinity War
โปรเจคนี้จึงกลายมาเป็น WandaVision ซีรีย์ 9 ตอน ความยาวรวมประมาณ 6 ชั่วโมง เริ่มฉายครั้งแรกทาง Disney+ วันที่ 15 มกราคม 2021 จำนวน 2 ตอน หลังจากนั้นก็ปล่อยออกมาอาทิตย์ละ 1 ตอน จนถึงวันที่ 5 มีนาคม 2021 ซึ่งในตอนแรก Marvel Studios คิดจะปล่อยทั้งซีซันในวันเดียว แต่สุดท้ายตัดสินใจปล่อยอาทิตย์ละตอนแบบเดียวกับ The Mandalorian ซีรีย์ Star Wars spin-off ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงบน Disney+
ผู้อำนวยการสร้าง Kevin Feige ให้สัมภาษณ์ว่าซีรีย์ WandaVision ตั้งใจทำออกมาเพื่อฉายอาทิตย์ละตอน เพื่อให้ผู้ชมมีเวลาคาดเดาว่าจะมีอะไรที่เหนือความคาดหมายออกมาอีกในอาทิตย์ถัดไป และยังมีเวลาย้อนกลับไปดูซ้ำได้อีก
Filmed Before a Live Studio Audience
ยุค 1950s คู่แต่งงานใหม่ Wanda และ Vision ย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง Westview โดยที่ Vision เป็นหุ่นแอนดรอยด์ ส่วน Wanda มีพลังจิตเคลื่อนย้ายสิ่งของและยังสามารถสร้างสิ่งของต่างๆ ขึ้นมาจากจินตนาการได้อีกด้วย ทั้งคู่มีความตั้งใจที่จะใช้ชีวิตอย่างปกติสุขในเมืองนี้ และหวังที่จะเข้ากับเพื่อนบ้านทั้งหลายได้อีกด้วย
ขณะที่ Vision ปลอมตัวเป็นมนุษย์เพื่อออกไปทำงาน Wanda ก็เห็สัญลักษณ์รูปหัวใจเขียนอยู่บนปฏิทิน เธอจึงคิดว่าวันนี้คือวันครบครอบการแต่งงาน
Agnes (Kathryn Hahn) ผ่านมาทักทายพร้อมกับเสนอตัวช่วยเหลือการจัดงานฉลองครอบรอบ แต่ความจริงแล้วสัญลักษณ์รูปหัวใจนั้นหมายถึง Mr. Hart (Fred Melamed) ซึ่งเป็นเจ้านายของ Vision จะมารับประทานอาหารเย็นที่บ้าน พร้อมกับภรรยาของเขา (Debra Jo Rupp) เรื่องวุ่นวายจึงเกิดขึ้น
Don’t Touch That Dial
Wanda และ Vision เตรียมการแสดงมายากลเพื่อแสดงในงานเลี้ยงเพื่อนบ้านเพื่อช่วยเหลือเด็ก Wanda พยายามสร้างความประทับใจให้กับ Dottie (Emma Caulfield Ford) หัวหนัาคณะกรรมการ ตามคำแนะนำของ Agnes นอกจากนี้เธอยังได้ Geraldine (Teyonah Parris) เพื่อนใหม่ ส่วน Vision เผลอกลืนหมากฝรั่งทำให้เครื่องยนต์ของเขาแปรปรวน
Wanda เริ่มรู้สึกว่ามีสิ่งประหลาดเกิดขึ้นรอบตัวเธอ ตั้งแต่เสียงอึกทึกยามค่ำคืนที่ไม่สามารถหาที่มาได้, เฮลิคอปเตอร์ของเด็กเล่นสีแดงคาดเหลืองที่ตกอยู่ในพุ่มไม้หน้าบ้าน, เลือดสีแดงไหลออกจากบาดแผลที่มือของ Dottie ในโลกขาวดำที่ไม่ควรจะมีสี, เสียงประหลาดที่เรียกชื่อของเธอดังออกมาจากวิทยุ, คนที่ออกมาจากท่อบนถนนหน้าบ้าน
และเมื่อ Wanda กับ Vision กลับมาถึงบ้าน พวกเขาก็พบว่า Wanda ตั้งครรภ์แล้ว
Now in Color
เรื่องราวดำเนินมาถึงยุค 70s ภาพโทรทัศน์มีสีสันสวยงาม Dr. Nielsen (Randy Oglesby) มาตรวจครรภ์และพบว่า Wanda ตั้งครรภ์ได้ 4 เดือนแล้ว คุณหมอจึงออกเดินทางไปท่องเที่ยวกับภรรยา ระหว่างนั้นท้องของเธอของโตขึ้นเหมือนกับตั้งครรภ์มาแล้ว 6 เดือน
Geraldine แวะมายืมถังโดยบอกว่าบ้านของเธอมีน้ำรั่ว แต่ขณะที่ทั้งคู่กำลังพูดคุยกัน Wanda ก็พบว่าตัวเองกำลังจะคลอดลูก ทำให้ Geraldine ต้องช่วยทำคลอดจนได้บุตรชายฝาแฝด Billy กับ Tommy ซึ่ง Wanda เห็นลูกฝาแฝดก็นึกถึงฝาแฝดชายของเธอชื่อ Pietro เมื่อ Geraldine ได้ยินชื่อนั้นเธอก็เผลอพูดออกมาว่า Pietro ที่โดน Ultron ฆ่าใช่ไหม ทำให้ Wanda สงสัยว่า Geraldine เป็นใครมาจากไหนกันแน่ Wanda จึงใช้พลังผลัก Geraldine ออกไปจาก Westview โดยที่ Vision ไม่รู้
We Interrupt This Program
Monica Rambeau (Teyonah Parris) เจ้าหน้าที่หน่วย S.W.O.R.D. (Sentient Weapon Observation and Response Division) องค์กรที่จัดการภัยคุกคามจากนอกโลก กลับมาหลังจากที่ Hulk ใช้พลังของ Nano Gauntlet หักล้างพลังที่ Thanos ใช้ Infinity Gauntlet ทำให้สิ่งมีชีวิตหายไปครึ่งจักรวาล เธอเป็นลูกสาวของ Maria Rambeau (ปรากฏตัวใน Captain Marvel) ผู้อำนวยการและยังเป็นผู้ก่อตั้ง S.W.O.R.D. และเมื่อเธอกลับมา ก็รุ้ว่าแม่ของเธอเสียชีวิตไปแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน
Tyler Hayward (Josh Stamberg) เข้ามาทำหน้าที่รักษาการณ์ผู้อำนวยการ จึงส่ง Monica ไปช่วย Jimmy Woo (Randall Park) เจ้าหน้าที่ FBI ที่กำลังสืบสวนคดีคนหายตัวไปใน Westview แต่พวกเขากลับพบ สนามพลัง CMBR (Cosmic Microwave Background Radiation) ครอบคลุมทั้งเมืองอยู่ และ Monica ก็ถูกดูดเข้าไปในนั้น Dr. Darcy Lewis (Kat Dennings) จึงถูกเรียกตัวมาพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคนเพื่อมาตรวจสอบ และเธอก็เป็นคนพบคลื่นสัญญาณถ่ายทอดละครซิตคอมชื่อ WandaVision ทำให้พวกเขารู้ความจริงว่าตัวละครที่อยู่ในเรื่องนั้น เป็นคนจริงๆ ที่เคยอาศัยอยู่ในเมือง Westview
On a Very Special Episode…
Billy และ Tommy เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จากเด็กทารกไปเป็นเด็ก 5 ขวบและ 10 ขวบในเวลาต่อมา Vision ได้อ่านอีเมล์จาก S.W.O.R.D. ซึ่งเอ่ยถึงความผิดปกติของ Wanda Maximoff และรังสีปริมาณมากครอบคลุมทั้งเมือง Vision จึงใช้พลังปลดล็อกสมองของผู้ร่วมงานคนหนึ่ง และได้รู้ความจริงว่า Wanda เป็นผุ้ที่ควบคุมอยู่เบื้องหลัง ทำให้เขาทะเลาะกับ Wanda
แต่ระหว่างนั้น Pietro ซึ่งตายไปแล้ว ก็กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในร่างของนักแสดงคนใหม่ (Evan Peters คือ Quicksilver ในภาพยนตร์ซีรีย์ X-Men ได้มารับบทเป็น Quicksilver ใน WandaVision ส่วน Quicksilver เวอร์ชันภาพยนตร์ MCU คือ Aaron Taylor-Johnson)
All-New Halloween Spooktacular!
Pietro เข้ามาทำหน้าที่พาเด็กๆ ไปเที่ยวเล่นช่วงเทศกาลฮาโลวีน แทน Vision ที่อ้างว่าเขาต้องไปลาดตระเวนเพื่อตรวจความเรียบร้อยตามที่ได้รับมอบหมาย แต่ความจริงแล้วเขาต้องการรู้ว่ามีอะไรอยู่ที่นอกเมืองกันแน่ Vision พยายามฝ่าสนามพลังที่ครอบคลุมเมือง แต่ร่างของเขากลับค่อยๆ แตกสาย ราวกับว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของสนามพลัง
เมื่อ Wanda รู้ว่า Vision กำลังบาดเจ็บ เธอจึงขยายขอบเขตของสนามพลังออกไปอีก เพื่อช่วยชีวิตของ Vision ทำให้เจ้าหน้าที่ของ S.W.O.R.D. จำนวนมาก รวมถึง Darcy ที่หนีไม่ทัน ถูกดูดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเมือง Westview พร้อมกับได้รับบทบาทใหม่
Breaking the Fourth Wall
Wanda เห็นว่าวัตถุต่างๆ ในบ้านของเธอ เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ และเธอไม่สามารถควบคุมมันได้ Vision ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งและพบกับ Darcy แต่เธอไม่สามารถจำเขาได้ Vision จึงใช้พลังปลดปล่อย Darcy
เมื่อความทรงจำของ Darcy กลับมา เธอจึงเล่าเรื่องของเขาทั้งหมดตั้งแต่ที่เขาเป็นสมาชิกของกลุ่ม Avengers ที่ถูก Wanda ฆ่า และถูก Thanos ฆ่าอีกครั้ง เขากับ Darcy จึงเดินทางกลับไปยัง Westview แต่ใน Westview ยังมีคนร้ายอีกคนซ่อนตัวอยู่
Previously On
เล่าเรื่องราวของ Wanda ยังเด็ก ก่อนที่เธอจะได้รับพลังจาก Mind Stone จนถึงช่วงเวลาหลังจากที่เธอเสีย Vision ไป ความเศร้าโศกที่ทำให้เธอปลดปล่อยพลัง Reality Warping สร้างเมือง Westview อย่างที่ใจเธอต้องการ รวมถึงการสร้าง Vision ขึ้นมาอีกครั้งด้วย
The Series Finale
Tyler Hayward ประสบความสำเร็จในการสร้าง Vision สีขาวจากส่วนประกอบของร่าง Vision เดิม และถ่ายโอนพลังงานของ Wanda ที่ได้รับจาก Mind Stone
สถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดวิกฤตเมื่อ Wanda ต้องเลือกว่าจะปลดปล่อยชาวเมืองทั้งหมดให้เป็นอิสระ หรือรักษาชีวิตครอบครัวที่เธอสร้างขึ้นมาเอาไว้
สนุกมาก ดีมากสมคำร่ำลือ ผูกเรื่องได้น่าติดตาม ชอบการเล่าเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ sitcom ยุค 60s แบบ The Dick Van Dyke Show ปรับเปลี่ยนทุกตอน มาเป็นยุค 70s 80s 90s จนถึงปัจจุบันที่มีทั้ง Breaking the fourth wall ที่มีบทตัวละครพูดกับผู้ชม รวมถึงการเล่าเรื่องแบบ Reality TV มีตัดเข้าฉากตัวละครให้สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นหรืออารมณ์ในฉากตอนนั้น โปรดักชันดีงานราวกับภาพยนตร์โรงใหญ่สมแล้วที่สร้างโดย Marvel Studios
การเขียนบทก็ยอดเยี่ยม เรียกได้ว่ามีทุกอารมณ์ทั้ง ตลก ดรามา โรแมนติก ตื่นเต้น แอคชัน สยองขวัญ ไปจนถึงการเปิดเผยตัวร้ายแบบมิวสิคัล!
Worldbuilding ของ MCU นี่มันเหนือกว่า DCU ไปไกลมาก ตอนจบยังมีหยอดฉากพิเศษหลัง closing credits สองรอบ อันแรกเป็นของ Captain Marvel 2 และอีกอันเป็นของ Doctor Strange in the Multiverse of Madness
WandaVision อาจจะไม่มีซีซันสอง เนื่องจาก Jac Schaeffer ผู้สร้างเห็นว่าตัวมินิซีรีย์จบอย่างสมบูรณ์แล้ว และยังมีส่วนที่เชื่อมกับภาพยนตร์ Doctor Strange in the Multiverse of Madness ที่มีกำหนดฉายในปี 2022 ดังนั้นจึงไม่มีแผนการสร้างซีซันสองในขณะนี้ นอกจากว่าในอนาคตมีเรื่องราวที่เหมาะสมและสามารถเชื่อมโยงเข้ากับ MCU ได้อีกครั้ง