ภาพยนตร์ทริลเลอร์ที่ใช้เทคนิคถ่ายทำแบบต่อเนื่อง ชอบการสร้างบรรยากาศที่ค่อยๆ ไต่ระดับความตึงเครียด บีบให้ผู้ชมรู้สึกกดดันเหมือนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับตัวละคร — สิ่งที่น่ากลัวสุดก็คือมันเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง

เปิดเรื่องมาด้วยภาพของ Emily (Stefanie Estes) หญิงสาวผิวขาวที่กำลังเสียใจหลังจากรู้ผลทดสอบการตั้งครรภ์ที่ทำให้เธอต้องผิดหวัง กล้องแพนติดตาม Emily ขณะที่เธอเดินออกจากห้องน้ำ สวนทางกับภารโรงหญิง ซึ่งเธอชายตามองด้วยสีหน้าเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง

เธอเห็น Brian (Jayden Leavit) นักเรียนในชั้นของเธอกำลังนั่งรอแม่ของเขาอยู่ริมถนนข้างโรงเรียนเพียงลำพัง เธอจีงแวะนั่งคุยเป็นเพื่อนและยังเอาต้นฉบับหนังสือเด็กที่เธอกำลังเขียนออกมาให้เขาดูด้วย แต่ทันทีที่เธอเห็นภารโรงหญิงเดินผ่านมา สีหน้าเธอก็เปลี่ยนไป เธอสั่ง Brian ให้ไปบอกภารโรงว่าไม่ให้ถูพื้นจนกว่าเขาจะกลับบ้าน ระหว่างที่ Brian เดินไปบอกภารโรง แม่ของเขาก็มาถึงและเห็นว่า Brian กำลังคุยกับภารโรง จึงถาม Emily ว่าเกิดอะไรขึ้น Emily กลับกุเรื่องว่า Brian เกือบลื่นหกล้มเพราะพื้นเปียกน้ำจากไม้ถูพื้นของภารโรง

หลังจากนั้นเธอก็เดินลัดเลาะเข้าไปในป่า และพบกับ Leslie (Olivia Luccardi) ลูกจ้างของ Kim (Dana Millican) เจ้าของมินิมาร์ทในเมือง หนึ่งในกลุ่มคนที่เธอนัดพบที่โบสถ์ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อพวกเธอไปถึงที่หมาย ก็พบว่าทุกคนได้มารวมตัวพร้อมหน้ากันก่อนแล้ว ดูภายนอกเหมือนเป็นแค่กลุ่มแม่บ้านที่มาดื่มน้ำชา พูดคุยปรับสารทุกข์สุขดิบกัน แต่แท้จริงแล้ว Emily เป็นทั้งหัวหน้ากลุ่มและคนคัดเลือกผู้ที่มีลักษณะความคิดแนวทางเดียวกันกับเธอ โดยแต่ละคนเป็นหญิงผิวขาวที่คิดว่าตัวเองไม่ได้รับเป็นความเป็นธรรมจากสังคมปัจจุบันที่พยายามบีบบังคับให้พวกเธอต้องยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม

Marjorie (Eleanore Pienta) ไม่พอใจที่เจ้านายของเธอเลื่อนขั้นให้เพื่อนรวมงานผิวสีที่เข้ามาทำงานหลังเธอ ทั้งที่เธอก็ตั้งใจทำงานอย่างหนักไม่แพ้ใคร เธอเชื่อว่าคนผิวมีแต้มต่อจากภูมิหลังชีวิตที่ลำบากและใช้มันเรียกคะแนนความสงสารจากคนผิวขาว Emily คิดว่าคนผิวสีได้สิทธิพิเศษสามารถด่าว่าคนผิวขาวได้อย่างสนุกปาก แต่ถ้าสลับบทเป็นคนผิวขาวพูดบ้าง ผู้พูดก็จะถูกคนตราหน้าว่าเป็นพวก racist เหยียดสีผิว สมาชิกคนอื่นก็เห็นด้วยและเริ่มแชร์ประสบการณ์ที่ไม่ดีของพวกเธอ

เป้าหมายต่อไปของกลุ่มก็คือหาผู้ชายที่มีแนวความคิดเดียวกันมาจับคู่กับสมาชิกที่ยังไม่มีครอบครัว และทำจดหมายข่าวเขียนบทความที่จะใช้ดึงดูดคนให้สนใจมาเข้าร่วมอุดมการณ์ แต่การสนทนาก็ถูกขัดจังหวะเมื่อ Emily ถูกบาทหลวงเรียกออกไปพบและขอให้พวกเธอย้ายสถานที่ไปรวมกลุ่มที่อื่น เนื่องจากเขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พวกเธอคุยกัน Emily จึงบอกให้ทุกคนย้ายไปคุยกันต่อที่บ้านของเธอ

ระหว่างทาง Emily แวะซื้อไวน์ที่ร้านของ Kim และบังเอิญได้พบกับหญิงสาวเอเชีย 2 คนเข้ามาขอซื้อไวน์ที่ร้าน ซึ่ง Kim ปฏิเสธที่จะขายให้พวกเธอ และขอให้พวกเธอออกจากร้าน ทั้งสองฝ่ายเริ่มโต้เถียงกัน หนึ่งในสองสาวจำ Emily ได้ว่าเธอคือน้องสาวของผู้ชายที่ข่มขืนเธอ แต่ Emily เชื่อว่ามันคือเรื่องโกหกที่เป็นต้นเหตุทำให้พี่ชายของเธอต้องถูกจับ การประจันหน้ากันครั้งนี้เป็นเหมือนการจุดชนวนระเบิด ทุกคนเกิดอารมณ์เดือดดาล ตามมาด้วยการตัดสินใจหุนหัน และการกระทำที่ทำให้ทุกอย่างยิ่งเลวร้ายลงไปอีก

ผลงานภาพยนตร์ยาวเรื่องแรกของ Beth de Araújo ผู้กำกับชาวอเมริกัน ซึ่งเธอเป็นคนเขียนบทเองด้วย เธอเลือกใช้การเดินเรื่องแบบเรียลไทม์ตามเวลาจริงตั้งแต่ต้นจนจบ โดยใช้เทคนิค long take ที่เริ่มต้นถ่ายเวลาเดียวกันทุกวันทั้งหมด 4 เทค แล้วนำมาตัดต่อรวมกันเป็นภาพยนตร์ยาวที่ดูต่อเนื่อง ราวกับเป็นการถ่ายเทคเดียว 90 นาที

ชอบการสร้างบรรยากาศที่ค่อยๆ ไต่ระดับความตึงเครียด ด้วยการใช้เฟรมของภาพและการเคลื่อนที่ของกล้องติดตามตัวละคร บีบให้ผู้ชมรู้สึกกดดันเหมือนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับพวกเขา ทำให้เกิดความลุ้นระทึกแบบคาดเดาไม่ถูกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ชอบการเล่นกับเสียงที่สามารถทำให้เกิดภาพในจินตนาการได้โดยไม่ต้องมีภาพจริงให้เห็นเลย

นักแสดงทุกคนเล่นได้สมบทบาท สิ่งที่น่ากลัวสุดก็คือมันเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง คนที่ดูภายนอกเหมือนเป็นคนจิตใจดี แต่ภายในอาจหมกมุ่นกับเรื่องชั่วร้าย ซึ่งเมื่อถูกสถานการณ์พาไป ก็อาจทำให้คนเหล่านั้นถลำลึกลงไปในข้อผิดพลาดที่ใหญ่โตมากขึ้น จนไม่สามารถแก้ไขได้

SOFT & QUIET ฉายรอบปฐมทัศน์ในงานเทศกาลภาพยนตร์ SXSW (South by Southwest) วันที่ 12 มีนาคม 2022 และเข้าฉายในสหรัฐอเมริกา วันที่ 4 พฤศจิกายน ภายใต้ลิขสิทธิ์ของ Momentum Pictures