READY OR NOT
Matt Bettinelli-Olpin • Tyler Gillett
(2019)
สองพี่น้อง Daniel (Etienne Kellici) และ Alex (Chase Churchill) พบว่า Charles (Andrew Anthony) ที่เพิ่งแต่งงานกับ Helene (Nicky Guadagni) ถูกฆ่าโดยสมาชิกตระกูล Le Domas ของพวกเขาเอง
ภาพตัดมาที่ 30 ปีต่อมา Alex (Mark O’Brien) เข้าพีธีแต่งงานกับ Grace (Samara Weaving) ที่บ้านของตระกูล Le Domas โดยมีสมาชิกครอบครัว Daniel (Adam Brody), Tony (Henry Czerny), Becky (Andie MacDowell), และ Helene เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน ส่วน Fitch Bradley (Kristian Bruun), Emilie (Melanie Scrofano) และลูกๆ ของพวกเขาตามมาสมทบทีหลัง
ตระกูล Le Domas ร่ำรวยมาจากการทำบอร์ดเกม และมีกฏประหลาดซึ่งบังคับให้ทุกคนที่แต่งงานเข้ามาในครอบครัว ต้องร่วมเล่นเกมดึงไพ่ออกจากกล่องปริศนาซึ่งคุณทวดได้มากจากคุณ Le Bail ในสมัยโบราณ เพื่อดูว่าพวกเขาจะต้องเล่นเกมอะไร
เมื่อ Grace ดึงไพ่ที่ระบุว่าเป็นเกมซ่อนหา Hide & Seek ก็ทำให้ Alex ตกใจมากเนื่องจากเขาไม่คิดว่าเธอจะหยิบได้ไพ่ใบที่น่ากลัวที่สุด ซึ่งไม่เคยมีใครหยิบได้มาเป็นเวลา 30 ปี โดยในกฏที่เป็นที่รู้กันในตระกูล Le Domas ระบุว่า พวกเขาจะต้องฆ่าคนที่หยิบไพ่ใบดังกล่าวให้ได้ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นในวันต่อมา และถ้าพวกเขาทำไม่สำเร็จ ทุกคนในตระกูลก็จะต้องตาย — แน่นอนว่าในสมัยนี้ก็จะมีสมาชิกในครอบครัวที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้ เพราะไม่มีใครที่รู้จริงว่าจะเกิดอะไรขึ้นในกรณีที่พวกเขาทำไม่สำเร็จ
สมาชิกหลายคนในครอบครัวก็ไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน แต่ก็ต้องเล่นไปตามน้ำเนื่องจากเป็นกฏของตระกูล — ความตลกคือบ้านทั้งหลังสามารถ lock down ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และสมัยนี้มีกล้องวงจรปิดทั่วบ้านแล้ว แต่ก็ถูกสั่งให้ปิดกล้อง เพื่อที่จะได้เป็นการล่าเหมือนสมัยอดีต อาวุธที่ใช้ก็เป็น ขวาน หน้าไม้ ธนู หรือปืนโบราณต่างๆ
บ้านก็มีไฟฟ้าใช้ แต่ทุกคนต้องถือตะเกียงเดินไปมา และเนื่องจากทุกคนในครอบครัวไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการล่า ความผิดพลาดก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น การพลั้งมือฆ่าพวกเดียวกันเอง สาวใช้ที่โดนลูกหลง หรืออยู่ๆ ก็ตายเองแบบโง่ๆ
การเดินเรื่องในฉากระทึกทำได้ค่อนข้างดี แต่การวางตัวละครแบบที่ไม่ปูพื้นอะไรมาให้ผู้ชมได้รับรู้ จึงไม่เกิดความรู้สึกลุ้นอยากจะเอาใจช่วยตัวละครตัวไหนเลย
นอกจากนั้น การที่ภาพยนตร์พยายามเดินเรื่องเหมือนเป็นเกมไล่ฆ่า แต่ปิดท้ายด้วยการบอกว่านี่มันเป็นแนว supernatural ต่างหาก ทำให้เกิดความรู้สึกว่ามันไม่สมจริงเหมือนโดนหักหลัง มันไม่ใช่การหักมุม! ซึ่งอารมณ์ต่างจากภาพยนตร์ที่ชอบมากอย่าง DRAG ME TO HELL ที่บอกมาเลยว่า นี่มันคือพลังลี้ลับเหนือธรรมชาตินะ!
