เรื่องราว 7 ปี หลังจากเหตุการณ์อุกกาบาต Agatha 616 มุ่งหน้ามายังโลก มนุษย์ในขณะนั้นใช้วิธีเดียวที่พวกเขาสามารถทำได้ ก็คือการยิงขีปนาวุธเพื่อทำลายอุกกาบาตก่อนที่มันจะเข้าชนโลก พวกเขาสามารถทำลายอุกกาบาตได้สำเร็จ แต่ก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดเมื่อสารเคมีจากการระเบิดร่วงหล่นลงมาบนพื้นโลก ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ แต่กลับทำให้สัตว์เลือดเย็นทั้งหลายกลายพันธุ์เปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ พวกมันสังหารมนุษย์บนพิ้นโลกไปกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ภายในระยะเวลา 1 ปีเท่านั้น มนุษย์ที่หลงเหลืออยู่จึงต้องหนีไปรวมกลุ่มหลบซ่อนในบังเกอร์ใต้ดิน หรือสถานที่ที่สัตว์ประหลาดไม่สามารถเข้าถึงได้ เนื่องจากพื้นดินไม่ปลอดภัยสำหรับมนุษย์อีกต่อไป

Joel Dawson (Dylan O’Brien) เด็กหนุ่มจากเมือง Fairfield ที่เป็นเหมือน ground zero จุดเริ่มต้นของ Monsterpocalypse ต้องสูญเสียพ่อและแม่ไปขณะพยายามหลบหนีสัตว์ประหลาด นับเป็นเวลากว่า 7 ปีที่เขาต้องอาศัยอยู่ในหลุมหลบภัยร่วมกับผู้รอดชีวิตคนอื่น Joel เป็นคนขี้กลัวแบบที่ว่ากลัวจนก้าวขาไม่ออกทำอะไรไม่ถูก ทำให้เขาได้รับหน้าที่ที่ไม่ต้องออกไปสู้กับสัตว์ประหลาด หน้าที่หลักของเขาคือการทำอาหารให้คนในบังเกอร์

ก่อนหน้านี้ Joel มีคนรักชื่อ Aimee (Jessica Henwick) แต่ทั้งคู่แยกย้ายกันหลบหนีพร้อมครอบครัวตัวเอง Joel เขาเชื่อว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง เขาใช้เครื่องส่งสัญญาณวิทยุเพื่อค้นหาเธอจากกลุ่มที่เขาสามารถติดต่อได้ จนในที่สุดเขาก็พบว่าเธออยู่ใน Colony 3022 ที่ชายหาดชื่อ Jenner ซึ่งอยู่ห่างจากบังเกอร์ของเขา 85 ไมล์ (ประมาณ 136.794 กิโลเมตร) ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 7 วัน ว่ากันว่ากลุ่มนักล่าที่ได้รับการฝึกพร้อมอาวุธครบมือสามารถเดินทางได้ไกลสุด 50 ไมล์ (ประมาณ 80 กิโลเมตร) พวกเชาสื่อสารกันทางวิทยุเป็นเวลาหลายอาทิตย์ แต่คลื่นสัญญาณมักจะขาดหายขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน

หลังจากที่เขาเกือบถูกสัตว์ประหลาดที่บุกเข้ามาในบังเกอร์ฆ่า ทำให้เขาตัดสินใจเดินทางไปหา Aimee ท่ามกลางเสียงคัดค้านของคนในบังเกอร์ เขาเชื่อว่า Aimee เป็นคนเดียวในโลกที่จะทำให้เขามีความสุขได้

ระหว่างการเดินทาง เขาก็ได้พบกับสุนัขชื่อ Boy ที่ช่วยชีวิตเขาไว้จากสัตว์ประหลาดรูปร่างเหมือนอึ่งอ่างยักษ์ Boy เป็นสุนัขที่เฝ้ารอเจ้าของของมันที่ไม่กลับมาสักที มีความเป็นไปได้ว่าผู้หญิงที่เป็นเจ้าของอาจจะไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้ว Joel จึงได้ Boy มาเป็นผู้ร่วมเดินทาง

Joel ยังได้รับการช่วยชีวิตจาก Clyde Dutton (Michael Rooker) และ Minnow (Ariana Greenblatt) สองนักล่าที่กำลังเดินทางไปยังภูเขาที่พวกเขาได้ข่าวว่ามีผู้รอดชีวิตอยู่จำนวนมาก เนื่องจากสัตว์ประหลาดไม่ชอบที่สูงและความหนาวเย็น Joel จึงร่วมทางไปกับพวกเขา ซึ่งทำให้เขาได้รับการสอนวิชาจาก Clyde และการยิงธนูจาก Minnow

ชอบมาก LOVE AND MONSTERS เป็นภาพยนตร์ที่สนุกจริงๆ เขียนบทและผูกเรื่องออกมาได้ดีมาก ยังกับ role-playing game ที่ตัวเอกเป็นผู้ชายกระจอกธรรมดา ต้องออกเดินทางตามหาคนรัก ฝ่าฝันอันตราย เจอผู้ร่วมเดินทาง ได้พัฒนาทักษะทั้งทางกายและจิตใจ สู้กับสัตว์ประหลาด เลเวลอัพขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วยังมีจุดหักมุมให้ตื่นเต้นได้อีก

LOVE AND MONSTERS มีกำหนดเข้าฉายในโรงภายนตร์สหรัฐอเมริกาวันที่ 6 เมษายน 2020 แต่ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 จึงได้ฉายแบบจำกัดจำนวนโรงภาพยนตร์ในช่วงวันที่ 16 – 18 ตุลาคม 2020 และปล่อยแบบ Video On Demand ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคมเช่นเดียวกัน

Dylan O’Brien นักแสดงที่สร้างชื่อจากซีรีย์ภาพยนตร์ The Maze Runner มารับบทเป็น Joel ตัวเอกของเรื่อง ก็เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถแบกรับภาพยนตร์เกือบทั้งเรื่องไว้คนเดียวได้ เป็นทั้งผู้บรรยายและคนเดินเรื่องไปด้วย ทำให้ตัวละคร Joel เป็นตัวละครที่มีมิติ ดูน่าติดตามและคอยลุ้นเอาใจช่วยไปตลอดทั้งเรื่อง

หวังว่าจะได้เห็นภาคต่อของ Love and Monsters เพราะมันยังสามารถไปได้ไกลกว่านี้อีก จากฉากที่ทิ้งท้ายไว้ในตอนจบ ตัวละครอย่าง Clyde และ Minnow ที่แม้ว่าจะโผล่มาช่วงสั้นๆ แต่ก็โดดเด่นมาก ควรมี spin-off หรือภาคต่อที่เน้นเรื่องของสองคนนี้เป็นพิเศษ แต่ความคาดหวังในภาคต่อก็จะสูงตามไปด้วย