INSIDE NO. 9
David Kerr
(2014)
หลังจากที่ผิดหวังกับ Black Mirror ที่ Netflix ซื้อไปเพื่อทำให้มันแย่ลง และ The Twilight Zone ที่ CBS ได้ลิขสิทธิ์ชื่อมาสร้างใหม่ แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ระดับฉบับดั้งเดิม แล้วบังเอิญอ่านเจอรีวิว Inside No. 9 ซีรีย์ของ BBC ว่ายังคงความเป็น black comedy อย่างครบถ้วนจนถึงทุกวันนี้ จึงไปหามาดูบ้าง
Inside No. 9 มีจำนวน 6 ตอน ความยาวตอนละประมาณ 30 นาที โดยแต่ละตอนจะไม่มีความเกี่ยวข้องกัน
Sardines
Rebecca (Katherine Parkinson) และ Jeremy (Ben Willbond) ร่วมเล่นเกมฉลองงานหมั้นของพวกเขาที่บ้านของครอบครัว เกมที่เป็นเหมือนเกมประจำตระกูล นั่นก็คือ Sardines ซึ่งเป็นเกมซ่อนหาแบบหนึ่ง ต่างจากเกมซ่อนหาปกติก็คือ จะมีคนที่ไปซ่อนเพียง 1 คน และผู้เล่นที่เหลือต้องออกตามหาผู้ซ่อนคนแรก เมื่อพบกับผู้ซ่อนแล้ว คนที่หาพบจะต้องเข้าไปหลบซ่อนในที่เดียวกับผู้เล่นคนแรก รวมถึงผู้เล่นคนต่อๆ ไป จนทุกคนเบียดกันเหมือนปลากระป๋อง ผู้เล่นที่หาที่ซ่อนพบเป็นคนสุดท้ายก็จะแพ้เกมนี้ และจะได้เล่นเป็นผู้ซ่อนคนแรกในเกมต่อไป — Rebecca เป็นคนแรกที่หา Ian (Tim Key) พบในตู้เสื้อผ้า ตามมาด้วย Lee (Luke Pasqualino), Carl (Steve Pemberton), Stuart (Reece Shearsmith), Rachel (Ophelia Lovibond), Geraldine (Anne Reid), Mark (Julian Rhind-Tutt), Elizabeth (Anna Chancellor), Lee (Luke Pasqualino), Stinky John (Marc Wootton), Andrew (Timothy West)
ชอบการถ่ายทอดความรู้สึกอึดอัดของการเบียดเสียดกันอยู่ในที่แคบๆ บทสนทนาที่เปลี่ยนอารมณ์เมื่อตัวละครตัวใหม่เข้ามาอยู่ในฉาก ทำให้ต้องคอยฟังว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป จุดหักมุมตอนจบก็ทำออกมาได้ดีมาก
A Quiet Night In
Eddie (Steve Pemberton) กับ Ray (Reece Shearsmith) สองนักย่องเบาที่ตั้งใจจะมาขโมยงานศิลป์ในบ้านของ Gerald (Denis Lawson) แต่เหตุการณ์ไม่ได้ราบรื่นเหมือนที่ทั้งสองคนคิดไว้ เมื่อในบ้านยังมี Kim (Joyce Veheary) คนรักของ Gerald และ Sabrina (Oona Chaplin) แม่บ้าน อยู่อีกด้วย
บทของตอนนี้ทำออกมาได้สนุกมาก ทั้งที่แทบจะไม่มีบทพูดเลย เนื่องจากหัวขโมยทั้งสองคนต้องแอบขโมยภาพโดยที่คนในบ้านไม่รู้ตัว และยังมีอุปสรรคมากมายที่คอยขัดขวาง ไม่ว่าจะเป็นการทะเลาะกันของคนในบ้าน ปัญหาสัตว์เลี้ยง ไปจนถึงแม่บ้าน แล้วยังมีจุดหักมุมที่ทำออกมาได้อย่างชาญฉลาด สร้างความประทับใจ ขอยกให้เป็นหนึ่งในเรื่องที่น่าจดจำในรอบ 10 ปีเลย
Tom & Gerri
Tom (Reece Shearsmith) ครูโรงเรียนประถมที่ฝันอยากจะเป็นนักเขียน — คืนวันหนึ่งขณะที่ Tom อยู่ในห้องคนเดียว เขาก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตู เมื่อเขาไปเปิดประตูออกไปก็พบ ชายจรจัดที่เขาเคยเห็นอยู่ข้างอาคาร ได้นำเอากระเป๋าเงินที่เขาทำตกไว้มาคืน ชายจรจัดแนะนำตัวเองว่าเขาชื่อ Migg (Steve Pemberton) — Tom กล่าวขอบคุณและมอบเงินให้เขาเป็นสินน้ำใจ — ในเวลาต่อมา Migg กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับนำวิสกี้มาให้ 1 ขวด Tom จึงเชิญเขาเข้ามาดื่มในห้องสักครู่เป็นมารยาท — ระหว่างที่คุยกัน Migg บอกว่าเขารู้จักกับ Charles Bukowski ซึ่งเป็นนักเขียนที่ Tom ชื่นชอบและรู้มาว่าเขาใช้เวลาหนึ่งในชีวิตเป็นคนจรจัดก่อนที่จะกลายมาเป็นนักเขียนชื่อดัง Tom จึงขอให้ Migg เล่าเรื่องของ Charles ให้ฟัง — เช้าวันรุ่งขึ้น Gerri (Gemma Arterton) แฟนสาวของ Tom เข้ามาในห้องและพบว่า Tom ไม่ได้ไปทำงาน และไม่พอใจเมื่อเธอรู้ว่า Tom เชิญคนจรจัดเข้ามาในห้อง — หลังจากที่ Gerri ออกจากห้องไป Migg บอกให้ Tom โทรไปลาป่วย และขณะที่ Tom ออกไปซื้อบุหรี่ Migg ก็แอบปิดโทรศัพท์มือถือของ Tom และนำไปซ่อน นอกจากนี้เขายังแอบฟังข้อความในเครื่องตอบรับอัตโนมัติ ซึ่ง Stevie (Conleth Hill) โทรมาฝากข้อความไว้ ก่อนที่ Migg จัดการลบทิ้ง
เรื่องราวที่ตัวเอกของเรื่องจินตนาการไปเองว่ามีใครอีกคนที่เขาคุยอยู่ด้วย ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการ แต่การเดินเรื่องที่น่าติดตามและมีการหักมุมที่คาดไม่ถึงไปอีกขั้น ก็ทำให้เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่น่าจดจำ
Last Gasp
เรื่องของครอบครัว Graham (Steve Pemberton) กับ Jan (Sophie Thompson) และ Tamsin (Lucy Hutchinson) ลูกสาวที่กำลังป่วย — วันหนึ่ง Frankie J Parsons (David Bedella) นักร้องชื่อดัง, Si (Adam Deacon) ผู้ช่วยของเขา และ Sally (Tamsin Greig) ผู้จัดการของ WishmakerUK ที่ช่วยทำให้ฝันเป็นจริง ก็ได้เดินทางมาเยี่ยม Tamsin เนื่องในวันเกิดของเธอ — หลังจากที่ที่เขาพยายามเป่าลูกโป่งจนสำเร็จ เขาก็ล้มลงและเสียชีวิต — Si แจ้งเรื่องให้ผู้จัดการของ Frankie ทราบ และได้รับคำสั่งห้ามไม่ให้แตะต้องอะไรทั้งนั้น จนกว่าเขาจะเดินทางมาถึง — ระหว่างนั้น Graham ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่า ลูกโป่งที่บรรจุลมหายใจสุดท้ายของนักร้องชื่อดัง จะต้องมีมูลค่ามหาศาล ทำให้ Graham, Si, และ Jan เริ่มโต้เถียงกันว่าใครควรจะมีสิทธิ์ครอบครองลูกโป่งใบนั้น
ตัวเนื้อเรื่องไม่ค่อยโหดเท่าไหร่ แต่ก็แอบใส่ความร้ายกาจมาตอนท้ายเรื่อง เป็นการสิ่งที่ทุกคนต้องตัดสินใจร่วมมือกันเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกัน บททำออกมาได้ดีเลยทีเดียว
The Understudy
Tony (Steve Pemberton) นักแสดงละครเวทีที่มีชื่อเสียง และกำลังมีผลงานละคร Macbeth ของ Shakespeare แสดงที่โรงละคร Duke of Cambridge — ส่วน Jim (Reece Shearsmith) คือ understudy (นักแสดงตัวสำรอง) ที่อยากจะมีโอกาสได้แสดงบทนำบ้าง โดยมี Laura (Lyndsey Marshal) ซึ่งเป็นนักแสดงตัวสำรองของ Lady Macbeth และเป็นแฟนของเขา คอยสนับสนุนให้เขาก้าวไปข้างหน้า — คืนหนึ่งระหว่างการก็เกิดอุบัติเหตุที่ให้ Tony ได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถแสดงได้ — ในเวลาต่อมา Jim ก็ขึ้นรับบทนำใน Macbeth และเริ่มสร้างชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จัก
เรื่องนี้ นอกจากจะได้แรงบันดาลใจมาจาก Macbeth แล้ว การเดินเรื่องก็ยังแบ่งเป็นองก์เหมือนละครเวทีอีกด้วย — ชอบความหลอน และการถ่ายทอดเหตุการณ์ที่เหมือนจะไม่ต่อเนื่องกันอย่างตั้งใจ ทำให้ผู้ชมเกิดความไขว้เขวว่า เรื่องไหนเป็นเรื่องจริง และใครกันแน่ที่เป็นคนร้าย
The Harrowing
Katy (Aimeé-Ffion Edwards) ถูกจ้างมาเพื่อดูแลบ้านของ Tabitha (Helen McCrory) และ Hector (Reece Shearsmith) น้องชายของเธอ ระหว่างที่ทั้งคู่จำเป็นต้องออกไปงานเลี้ยงนอกบ้าน — ในบ้านนี้ยังมี Andras (Sean Buckley) น้องขายอีกคนซึ่งเป็นผู้พิการและอาศัยอยู่ที่ชั้นบนสุดของบ้าน — หลังจากที่ Tabitha และ Hector ออกจากบ้านไป Shell (Poppy Rush) ก็ได้ตามมาเพื่ออยู่เป็นเพื่อน ซึ่งก็ไม่ได้ข่วยให้เธออุ่นใจขึ้นเลย เธอจึงคิดจะโทรเรียกพ่อมารับ แต่ก็ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ — เมื่อเธอกำลังจะพยายามออกจากบ้าน กระดิ่งสัญญาณจากห้องของ Andras ก็ดังขึ้น — แน่นอนว่าเธอไม่ต้องการจะขึ้นไป แต่ Shell อยากขึ้นไปเพื่อดูว่าเขาได้รับอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตหรือเปล่า และรบเร้าให้เธอขึ้นไปดูด้วยกัน
ตอนนี้มีแต่ความมืดมน ที่เดินเรื่องได้น่าตื่นเต้นลุ้นระทึก แต่น่าเสียดายที่ไม่มีจุดหักมุม ที่จะสร้างความประทับใจ เมื่อเทียบกับตอนอื่นๆ