การผจญภัยครั้งสุดท้ายของกลุ่มนักสู้พิทักษ์จักรวาล ที่ขนมาครบทุกอารมณ์ เรียกได้ว่าคุ้มค่าทุกนาที ควรไปชมในโรงภาพยนตร์ IMAX เพื่อความสมบูรณ์แบบ
GUARDIANS OF THE GALAXY
VOL. 3
James Gunn
(2023)
ภาคที่สามของภาพยนตร์ซีรีส์ GUARDIANS OF THE GALAXY บอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มพิทักษ์จักรวาล หลังจากพวกเขาจัดตั้งสำนักงานใหญ่บน Knowhere พวกเขาก็ถูก Adam Warlock (Will Poulter) นักรบจากเผ่าพันธุ์ Sovereign บุกเข้าโจมตี เพื่อชิงตัว Rocket (Bradley Cooper) ตามคำสั่งของ High Evolutionary (Chukwudi Iwuji)
การปะทะกันส่งผลให้ทุกคนในทีม GotG ได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะ Rocket มีอาการสาหัสที่สุด เนื่องจากเขาเป็นสัตว์ทดลองของบริษัท Orgocorp ซึ่งมีระบบชั้นสูงฝังไว้ในร่างกายที่จะปลิดชีวิตของสัตว์ทดลอง เพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีความลับของบริษัทรั่วไหล พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เครื่องมือรักษาบาดแผลของ Rocket ได้
Peter Quill (Chris Pratt) ต้องนำทีมแอบลักลอบเข้าไปใน Orgocorp เพื่อขโมยรหัสปลดล็อก ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยชีวิต Rocket แต่ High Evolutionary คาดการณ์เรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาจึงส่งลิ่วล้อแอบเข้าไปชิงรหัสตัดหน้า
ทีม GotG จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากบุกไปหา High Evolutionary ที่ Counter-Earth ดวงดาวที่ลอกเลียนแบบโลกมนุษย์ เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยเทคโนโลยีของ High Evolutionary ซึ่งหมกมุ่นกับการหาทางสร้างสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ เขาเชื่อว่าสมองของ Rocket กุมความลับของชีวิต ที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถทำซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง
VOL. 3 เป็นภาคที่เล่าเรื่องได้ดี (GotG ก็ผูกเรื่องได้ดีทุกภาคนั่นแหละ) ชอบการผูกเรื่อง Rocket ให้เป็นตัวชูโรง แม้ว่าเกือบทั้งเรื่อง Rocket จะนอนพะงาบใกล้ตายอยู่บนเตียงก็ตาม แต่การตัดสลับภาพในอดีต ทำให้ผู้ชมเข้าใจถึงที่มาที่ไป เหตุผลที่เขากลายมาเป็น Rocket แบบที่เราเห็น
ตัวร้ายในภาคนี้คือ High Evolutionary ซึ่งไม่มีการเล่าถึงเบื้องหลังว่าเป็นใครมาจากไหนกันแน่ ประวัติจริงของเขาแต่เดิมเป็นมนุษย์โลกชื่อ Herbert Edgar Wyndham ที่ศึกษาด้าน DNA ของมนุษย์จนสามารถสร้างยาที่เปลี่ยนร่างเขากลายเป็น High Evolutionary สิ่งมีชีวิตที่มีพละกำลังมหาศาล และมีสติปัญญาสูงส่ง จากนั้นเขาก็ออกเดินทางไปสำรวจจักรวาลเพื่อค้าหาความลับของพันธุกรรม — ตัวร้ายในภาคนี้เทียบไม่ได้กับ 2 ภาคแรก (ภาคแรกตัวร้ายคือ Ronan the Accuser เป็นชาว Kree, ภาคสองตัวร้ายคือ Ego เผ่าพันธุ์ Celestial ที่มีพลังดุจพระเจ้า) แต่มีความโหดเหี้ยมอำมหิตระดับสามารถฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ที่ตนเองคิดว่าเป็นการทดลองที่ผิดพลาด ไม่คู่ควรที่จะอยู่ในจักรวาลของเขา
James Gunn เป็นคนที่เข้าใจการเล่าเรื่อง ที่สามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ชม ด้วยการแสดงภาพ เรื่องราว รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูเหมือนไม่ค่อยสำคัญ ซึ่งทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงสเกลความยิ่งใหญ่ของภาพรวมทั้งหมดได้อย่างชัดเจนยิ่งกว่าภาพยนตร์ของ MARVEL เรื่องอื่น
จุดที่ชอบอีกอย่าง คือการไม่พยายามยัดเยียดเรื่องความรักระหว่าง Peter Quill และ Gamora (Zoe Saldaña) คนใหม่ ซึ่งเป็นคนละคนกับ Gamora ที่ตายไปใน AVENGERS: ENDGAME เธอเป็นเวอร์ชันที่ข้ามเวลามาจากอดีต เธอไม่เคยพบกับ Peter Quill มาก่อน จึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขาเลย และจบแบบแยกย้ายกันไปคนละทาง
ชอบการแทรกสอดมุขตลกที่ดูเป็นธรรมชาติ บ้าบอ เข้ากับบุคลิกของตัวละคร ทำให้ผู้ชมต้องหลุดขำออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่หลายครั้ง มันเป็นบทพูดที่ฟังดูธรรมดามากถ้าเห็นแค่บนหน้ากระดาษ ทุกคนเล่นได้เข้าขากันดีมาก จนอยากดูเบื้องหลังว่าทั้งหมดเป็นสคริปต์ที่ถูกเขียนขึ้น หรือส่วนไหนบ้างที่นักแสดงเสริมแต่งเข้าไปเอง
GUARDIANS OF THE GALAXY VOL.3 เป็นภาคสุดท้ายของซีรีส์ภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่ง James Gunn ผู้กำกับ/ผู้เขียนบท ได้ตอบคำถามแฟนๆ ทางทวิตเตอร์ว่าจะไม่มี GotG ภาค 4 อย่างแน่นอน — นอกจากนั้นยังมีการแสดงข้อความ “The Legendary Star-Lord will return.” หลังเครดิตในภาพยนตร์ ซึ่งหมายความว่า Star-Lord อาจกลับมาในภาพยนตร์เรื่องใหม่ของตัวเอง หรือไปโผล่หน้าในภาพยนตร์เรื่องอื่นใน Marvel Cinematic Universe (MCU) ก็ได้ — นับเป็นการปิดฉากกลุ่มพิทักษ์จักรวาลรุ่นแรกได้อย่างสวยงาม (ในอนาคตอาจมีภาพยนตร์ GotG รุ่น 2 ที่สร้างโดยผู้กำกับคนอื่น)
GUARDIANS OF THE GALAXY VOL. 3 ฉายรอบปฐมทัศน์ที่ Disneyland Paris ประเทศฝรั่งเศส วันที่ 22 พฤษภาคม 2023 ก่อนจะเปิดฉายในสหรัฐเอมริกา วันที่ 5 พฤษภาคม ส่วนในประเทศไทย “รวมพันธุ์นักสู้พิทักษ์จักรวาล 3” เข้าฉายตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม — ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำด้วยกล้อง IMAX ซึ่งมีอัตราส่วนภาพ 1.9:1 กว้างกว่าจอภาพยนตร์ทั่วไปที่มีมีอัตราส่วนภาพ 1.85:1 หรือ 2.39:1 จึงควรค่าแก่การรับชมในโรงภาพยนตร์ IMAX (ถ้าดูในโรง IMAX จะได้รับโปสเตอร์พิเศษของ GUARDIANS OF THE GALAXY VOL. 3 เวอร์ชันไอแมกซ์ด้วย)
การคัดเลือกเพลงในภาคนี้ก็ยังคงยอดเยี่ยม (แต่ยังไม่สุดยอดเท่าภาคแรก) ชอบเพลง Creep (Acoustic) ของ Radiohead, Since You Been Gone ของ Rainbow และเพลง Dogs Days Are Over ของ Florence + the Machine ที่หยิบมาใช้เป็นฉากจบได้อย่างงดงาม