ภาพยนตร์ลำดับที่ 9 ของแฟรนไชส์ FAST & FURIOUS ซึ่งเป็นภาคต่อของ THE FATE OF THE FURIOUS (2017) ที่ Justin Lin ผู้กำกับออริจินัลกลับมากำกับอีกครั้งหลังจาก FAST & FURIOUS 6 (2013) และยังเป็นครั้งแรกที่ Chris Morgan ไม่ได้เป็นคนเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้นับตั้งแต่ THE FAST AND THE FURIOUS: TOKYO DRIFT (2006)

เนื่องจากผู้เขียนบทไม่รู้ว่าผูกเรื่องไปต่อยังไง ผู้ชมจึงถูกพาย้อนอดีตไปยังปี 1989 สมัยที่ Jack Toretto (JD Pardo) นักแข่งรถพ่อของของ Dom (Vinnie Bennett) ยังมีชีวิตอยู่ ระหว่างการแข่งขันเกิดอุบัติเหตุทำให้ Jack เสียชีวิตทันที Dom เชื่อว่า Kenny Linder (Jim Parrack) คู่แข่งของพ่อเขาใช้แผนสกปรกทำให้พ่อของเขาต้องตาย เขาจึอลงมือทำร้าย Kenny จนบาดเจ็บสาหัส ส่งผลให้เขาต้องเข้าไปอยู่ในคุก ทิ้ง Jakob (Finn Cole) น้องชายของเขาไว้เพียงลำพัง

ระหว่างที่ Dom อยู่ในคุก เขาก็รู้ความจริงว่าน้องชายของเขาทำอะไรบางอย่างกับรถที่พ่อใช้ในวันแข่ง เมื่อ Dom พ้นโทษออกมา เขาก็ไปเผชิญหน้ากับ Jakob เรื่องสาเหตุที่ทำให้พ่อต้องตาย ซึ่ง Jakob ก็ไม่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหา — Dom จึงท้าแข่งรถกับ Jakob จนทำให้ Jakob ต้องออกจากเมืองไป

กลับมายุคปัจจุบัน Dom (Vin Diesel) ล้างมือจากวงการเพื่อเลี้ยงลูกชาย และอาศัยอยู่กับ Letty (Michelle Rodriguez) อย่างสงบสุข นับเป็นเวลา 2 ปีหลังจากที่พวกเขาต่อสู้กับ Cipher (Charlize Theron) แต่แล้วพวกเขาก็ได้รับการติดต่อจาก Roman (Tyrese Gibson), Tej (Ludacris), และ Ramsey (Nathalie Emmanuel) ที่เดินทางมาพบหลังจากที่ได้รับข้อมูลว่าเครื่องบินของ Mr. Nobody (Kurt Russell) ถูกลอบโจมตีจนตกใน Montequinto พื้นที่ในอเมริกากลางที่มีกลุ่มทหารครอบครองอยู่

พวกเขาตามรอยเครื่องส่งสัญญาณไปจนถึงจุดที่เครื่องบินตก และสามารถเปิดเซฟเพื่อนับอุปกรณ์ที่ถูกเก็บไว้ออกมาได้ แต่พวกเขาก็ถูกโจมตีโดยกองทหาร ทำให้พวกเขาต้องรีบออกจากพื้นที่ทันที

ระหว่างการหลบหนี Jakob (John Cena) ก็ปรากฏตัวออกมาและแย่งอุปกรณ์ชิ้นนั้นไปได้ ทำให้ Dom รู้ว่า Jakob คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด

อุปกรณ์ที่ Jakob ชิงไปได้แท้จริงแล้วคือ Aries เครื่องมือที่สามารถแฮกระบบความพิวเตอร์ได้ทุกเครื่องบนโลกนี้ ส่วนที่ Jakob ได้มาเป็นเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น อีกส่วนถูกเก็บซ่อนไว้ในเซฟขององค์กรที่ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่ด้วยความสามารถของ Cipher ทำให้ Jakob รู้ว่าอีกชิ้นส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่เขาต้องการอยู่ใน Edinburgh

F9 น่าจะเป็นภาคที่บทแย่ที่สุดเท่าที่เคยดูมา ทุกอย่างดูยุ่งเหยิงไม่มีที่มาที่ไป ราวกับว่าคนเขียนบทอยากจะยัดอะไรเข้ามาก็ได้ อยากให้ตัวเอกมีน้องชายหลังจากผ่านมา 20 ปีก็ได้ สร้างเรื่องย้อนอดีตเพิ่มตัวละคร แล้วก็ตัดสลับฉากปัจจุบันกลับไปมาแบบภาพยนตร์สืบสวนที่ค่อยๆ เปิดเผยความจริงออกมา แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครสนใจไง

ฉากแอคชันที่โอเวอร์เกินจริงยิ่งกว่า MISSION: IMPOSSIBLE แต่ละฉากที่คิดออกมานี่คือ defying gravity และ laws of physics ทั้งมวลจนกลายเป็นความตลกไปแล้ว โดยเฉพาะฉากรถติดเครื่องยนต์จรวดที่มีคนขับบินออกไปนอกโลกเนี่ย โอ้โฮ นี่มันบ้าบอเกินไปแล้วว้อย!

Han (Sung Kang) ก็ยังไม่ตาย แต่ ณ จุดนี้ก็ไม่มีอะไรจะทำให้เราแปลกใจได้อีกแล้ว…

F9 แต่เดิมได้กำหนดฉายในเดือนเมษายน 2020 แต่ถูกเลื่อนหลายครั้งจากหลายสาเหตุ รวมถึงการแพร่ระบาดของ COVID-19 จนในที่สุดก็ได้ฉายครั้งแรกในประเทศเกาหลีใต้และอีกหลายประเทศในวันที่ 19 พฤษภาคม 2021 ส่วนในสหรัฐอเมริกาเข้าฉายวันที่ 25 มิถุนายน

F9 สามารถกวาดรายได้ทั่วโลกไปกว่า 623 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญ กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในโลกลำดับที่ 3 ของปี 2021 และเป็นภาพยนตร์อเมริกันที่ทำรายได้สูงสุดของปีอีกด้วย หลังจากที่ประสบความสำเร็จทางด้านรายได้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จะมีภาคต่อไปอีก 2 ภาค!

F9 มีกำหนดปล่อยให้เช่าบนดิจิทัลแพลตฟอร์มในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม และมีกำหนดเข้าฉายในประเทศไทยวันที่ 21 ตุลาคม ด้วยชื่อภาษาไทย “เร็ว…แรงทะลุนรก 9″​