Clive Davis: The Soundtrack of Our Lives
Latest

CLIVE DAVIS

3000 1688 PRADT
4 MINUTE READ

Clive Davis

The Soundtrack of Our Lives
Chris Perkel
(2017)

★★★★☆
 

สารคดีของโปรดิวเซอร์ชาวอเมริกันที่ค้นพบและเซ็นสัญญากับศิลปิน ซึ่งต่อมาโด่งดังระดับซูเปอร์สตาร์ อาทิ Janis Joplin, Santana, Bruce Springsteen, Chicago, Billy Joel, Ace Of Base, Aerosmith, Westlife รวมถึง Barry Manilow, Taylor Dayne, Alicia Keys, Patti Smith, Carly Simon และ Whitney Houston — เรียกได้ว่าในวงการเพลง ไม่มีคนที่ไม่รู้จักชื่อ Clive Davis กับผลงานเพลงฮิตที่เขาเลือกสรรมาตั้งแต่ปี 1967 จนถึงปัจจุบันนับเป็นเวลากว่า 50 ปี

The Grammy Party คืองานฉลองซึ่งจัดขึ้นก่อนงานประกาศรางวัล Grammy โดย Clive Davis ว่ากันว่ายิ่งใหญ่กว่างานประกาศรางวัลที่เราเห็นถ่ายทอดทางโทรทัศน์ ศิลปินต้องได้รับเชิญให้ไปงานนี้จึงจะเรียกว่าได้เข้าสู่วงการเพลงอย่างแท้จริง

Clive เกิดมาในครอบครัวชาวยิวที่ยากจน ในสมัยนั้นอาชีพที่เลือกได้ก็จะต้องเป็นทนายหรือไม่ก็เป็นหมอ ​ซึ่ง Clive ก็เลือกเส้นทางกฏหมายโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอนาคตต้องเจอกับอะไรบ้าง เขาสมัครและได้รับทุนเรียนจาก New York University แต่หลังจากนั้นไม่นาน ขณะที่เขากำลังเริ่มเรียนปีสองที่วิทยาลัย แม่ของเขาก็เสียชีวิต และพ่อของเขาก็เสียชีวิตตามไปอีกในปีต่อมา ทำให้ Clive ต้องทำงานอย่างหนัก

หลังจากที่เรียนจบ เขาก็ได้งานกับหนึ่งในบริษัทกฏหมายที่ดีที่สุดในเมือง จนวันหนึ่งเขาก็ได้รับข้อเสนอจาก chief attorney ของ Columbia Records ให้มาทำดูแลงานด้านกฏหมายของบริษัท โดยในขณะนั้นเขาไม่มีความรู้เรื่องดนตรีหรือวงการเพลง แต่เขาก็ตัดสินใจรับโอกาสนั้น

Clive ทำงานที่ Columbia Records เป็นเวลา 5 ปี เขาก็ถูก Goddard Lieberson (ประธานบริษัท) เรียกตัวไปพบ และให้เขาไปรับตำแหน่งหัวหน้าของ Musical Instruments Division ที่ดูแลฝ่ายเครื่องดนตรี ทั้งกีตาร์ Fender, ลำโพง Leslie, เและ เปียโน Steinway แต่ Clive ตัดสินใจไม่รับตำแหน่งนั้น

เช้าวันต่อมา Clive ก็ได้รับโทรศํพท์จาก Goddard ว่ามีการเปลี่ยนแผนว่าเขาจะให้ตำแหน่ง Musical Instruments Division กับ Norman Adler และเขาต้องการให้ Clive รับตำแหน่งหัวหน้าของ Columbia Records

ในช่วงนั้น Columbia Records ให้ความสนใจในดนตรี classical, broadway, middle of the road (ในปัจจุบันคือ soft adult contemporary) อย่าง Andy Williams, Barbra Streisand, Vicki Carr, Tony Bennett เป็นพิเศษและก็ยังไปได้ดีด้วย พวกเขาไม่สนใจดนตรีประเภท rock ‘n’ roll เลย

Lou Adler ขอให้ Clive เดินทางไปดู Monterey Pop Festival ที่จัดขึ้นใน California ปี 1967 ซึ่งทำให้เขาได้พบกับวง Big Brother and the Holding Company ที่มี Janis Joplin เป็นนักร้องนำ เขาประทับใจมากจนเซ็นสัญญา Janis Joplin เป็นศิลปินคนแรกของเขาในสังกัด Columbia Records

หลังจากนั้นเขาได้เซ็นสัญญากับวง The Electric Flag, วง Blood, Sweat & Tears, วง Chicago, วง Moby Grape, Simon & Garfunkel, Bruce Springsteen, วง Aerosmith, วง Earth, Wind & Fire

ผลงานการค้นหาคัดเลือกศิลปินมาเซ็นสัญญา ทำให้ ​Columbia Records ก้าวขึ้นมาเป็นค่ายเพลงอันดับหนึ่งของประเทศ — แต่ทว่าในปี 1973 ชื่อของ Clive ก็ถูกดึงเข้าไปพัวพันกับคดีปลอมแปลงเอกสารฉ้อโกงเงินของ Pat Falcone และ David Wynshaw ซึ่งแม้ว่า Clive จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ต้นสังกัด CBS ก็ตัดสินใจไล่ Clive ออกเพื่อป้องกันข่าวอื้อฉาวที่จะกระทบชื่อเสียงของ CBS

หลังจากเหตุการณ์ตามล่าหาความจริงเกี่ยวกับการฉ้อโกงและชื่อของ Clive เป็นเวลากว่า 3 ปี ก็ไม่พบความเกี่ยวของใดๆ Clive ก็ได้รับเช็คมูลค่า 1,000,000 เหรียญ สำหรับลิขสิทธิ์งานเพลงในอนาคตของศิลปินสังกัด Arista Records ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ CBS โดยมี Clive เป็นผู้ก่อตั้ง

Clive เลือก Melissa Manchester และ Barry Manilow จากค่าย Bell Records ของ Columbia Pictures ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จจากอัลบั้มแรกทั้งคู่ มาเป็นศิลปินของ Arista Records — และทำให้เพลง Mandy (1974) ชอง Barry Manilow ขึ้นอันดับหนึ่งบนบิลบอร์ดชาร์ต ตามมาด้วยเพลงฮิต Don’t Cry Out Loud ของ Melissa Manchester ในปี 1978

ศิลปินในสังกัดอย่าง Melissa Manchester และวง Outlaws ก็ได้รับรางวัล Gold album (ยอดขายมากกว่า 500,000) ส่วนอัลบั้ม I Robot ของ Alan Parson ก็ได้ Platinum (ยอดขายมากกว่า 1,000,000) — Arista Records ยังเซ็นสัญญากับ Bay City Rollers, The Kinks, Lou Reed, Grateful Dead ทำให้ค่าย Arista กลายมาเป็นคู่ต่อสู้ที่ค่ายใหญ่ๆ ต่างจับตามอง

Clive ยังคงค้นหาศิลปินเก่าๆ ที่เสียงดีแต่ไม่ได้ออกอัลบั้มแล้ว จนได้ Dionne Warwick และ Aretha Franklin มาเซ็นสัญญาในปี 1979 เพลง I’ll Never Love This Way Again ได้รางวัล Grammy และอัลบั้ม Dionne ก็ทำยอดขายได้มากกว่า 1,000,000 ก๊อปปี้

หลังจากที่ Clive ได้ยินเพลง Dancing Queen เวอร์ชัน Kenny G ก็เซ็นสัญญาให้เขาเข้าสังกัด Arista ซึ่งในตอนนั้นไม่มีใครคดิว่านักดนตรีแซ็กโซโฟนจะมาเป็นศิลปินเดี่ยวที่โด่งดังได้ แต่ Clive เชื่อว่า Kenny G จะทำได้ — Kenny G กลายเป็นหนึ่งในศิลปินที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล ด้วยยอดขายรวมมากกว่า 75 ล้านก๊อปปี้

Clive เซ็นสัญญา Whitney Houston เข้าสังกัดในปี 1983 ขณะที่เธออายุ 19 ปี เขาจัดโชว์เคสที่ New York และ Los Angeles เพื่อเชิญนักแต่งเพลงระดับแถวหน้าของวงการมาพบกับศิลปินคนใหม่ล่าสุดของเขา — เพลง I Wanna Dance with Somebody ประสำเร็จอย่างสูง สามารถขึ้นอันหนึ่งบนชาร์ตใน 13 ประเทศในปี 1987 ขายได้มากว่าหนึ่งล้านก๊อปปี้ และชนะรางวัล Grammy ก่อนที่เพลง I Will Always Love You จะยึดตำแหน่งอันดับหนึ่ง US Billboard Hot 100 เป็น เวลา 14 สัปดาห์ในปี 1992 และกลายเป็นหนึ่งในซิงเกิ้ลที่ขายดีที่สุดตลอดกาลด้วยยอดมากกว่าขายกว่า 20 ล้านก๊อปปี้

Clive Davis: The Soundtrack of Our Lives เป็นสารคดีที่มีการเล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตาม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะศิลปินและเพลงที่เลือกนำมาเสนอล้วนประสบความสำเร็จอย่างสูงในระดับโลก ซึ่งโดยส่วนมากเราจะไม่ค่อยรู้เบื้องหลัง ก่อนที่พวกเขาจะโด่งดังว่าใครเป็นคนนำพวกเขาไปสู่จุดสูงสุดของอาชีพ สารคดีนี้ก็นำเสนอเรื่องราวส่วนหนึ่งที่ตัดต่อมาได้อย่างน่าสนใจ

แม้ว่าเราจะไม่รู้เบื้องลึกของการทำงานว่า Clive ต้องทำอะไรบ้าง นอกจากความสามารถพิเศษที่สามารถรู้ว่าศิลปินหรือเพลงไหนจะเป็นเพลงฮิต (แต่ที่ไม่ฮิตก็มีนะ) — ชอบการทดลองอะไรใหม่ๆ ในสมัยนั้น เช่นเขียนจดหมายไปขอให้สถานีวิทยุเล่นเพลงที่แตกต่างจากเพลงที่เปิดกัน หรือการเอาเพลงไปเปิดในร้านแบรนด์เนมดังๆ ให้คนติดหูก่อน เป็นต้น สรุปว่าเป็นสารคดีที่ชอบอีกเรื่องหนึ่ง เพลงเพราะมากทุกเพลง

THIS ARTICLE WAS FIRST PUBLISHED ON

 
To ensure the accuracy of the records, please contact via email
if any information requires correction or updating.


YOU CAN ALSO BUY ME A COFFEE

REPORT / REQUEST
REPORT / REQUEST