เมื่อ 65 ล้านปีก่อน มีดาวเคราะห์ชื่อ Somaris ซึ่งมีสิ่งมีชีวิตที่มีเทคโนโลยี และอารยธรรมชั้นสูงอาศัยอยู่ พวกเขามีรูปร่างหน้าตาบุคลิกเหมือนมนุษย์ แต่ไม่ใช่มนุษย์

Mills (Adam Driver) จำเป็นต้องรับงานขับยานอวกาศในภารกิจที่ต้องใช้เวลา 2 ปี เพื่อหาเงินจำนวนมหาศาลมารักษาลูกสาวที่กำลังป่วย แต่ระหว่างการเดินทาง ยานอวกาศของเขาถูกกลุ่มวัตถุขนาดใหญ่ในอวกาศพุ่งชนจนได้รับความเสียหายอย่างหนัก ฉีกขาดออกเป็นสองส่วน จำเป็นต้องลงจอดฉุกเฉินบนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง

ไครโอนิกส์แคปซูลของผู้โดยสารที่กำลังหลับไหล กระเด็นออกไปจากตัวยาน คาดว่าน่าจะเสียชีวิตทุกคน

เหลือเพียง Mills คนเดียวที่รอดมาได้ และพยายามส่งข้อความขอความช่วยเหลือ และค้นพบว่าเขาสามารถหายใจบนดาวเคราะห์ดวงนี้ได้โดยไม่ต้องใช้ชุดอวกาศ

หลังจากนั้นเขาก็คิดจะฆ่าตัวตาย แต่เกิดนึกถึงลูกสาว ทำให้เขาเปลี่ยนใจ ฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง

เขาจึงออกไปสำรวจพื้นที่ใกล้เคียง และพบกับผู้รอดชีวิต 1 คน คือเด็กผู้หญิงชื่อ Koa (Ariana Greenblatt) ซึ่งใช้ภาษาที่เขาไม่คุ้นเคย และเนื่องจากเครื่องแปลภาษาอัตโนมัติถูกทำลายไปพร้อมกับยานอวกาศ ทั้งคู่จึงต้องสื่อสารกันด้วยวิธีอื่น อาทิ การใช้ภาพวาด หรือ การใช้มือแสดงท่าทาง

พวกเขาต้องหาทางออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้ ซึ่งความจริงคือโลกมนุษย์เมื่อ 65 ล้านปีก่อน พวกเขาต้องผจญภัยฝ่าฟันฝูงไดโนเสาร์ (ที่ดูปลอมมาก) เพื่อไปที่ยานสำหรับหลบหนีที่หล่นอยู่บนยอดเขา ห่างออกไปจากจุดที่พวกเขาอยู่ 15 กิโลเมตร

นอกจากนั้นพวกเขายังต้องแข่งกับเวลาที่เหลือน้อยลงทุกที เพราะมันคือวันที่อุกกาบาตพุ่งชนโลก หรือที่เรียกกันว่า Cretaceous–Paleogene extinction event ที่เป็นเหตุทำให้สิ่งมีชีวิต 75% บนโลกต้องสูญพันธุ์

ผลงานของ Scott Beck และ Bryan Woods สองคู่หูนักสร้างภาพยนตร์ชาวอเมริกันที่เคยมีผลงานร่วมเขียนบท A QUIET PLACE ซึ่งก็ทำให้เรารู้สึกตงิดใจตั้งแต่เห็นใบปิด ที่พยายามโยงว่าเป็นผลงานจากผู้เขียนบทเรื่องนั้น

ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่สามารถเทียบกับ A QUIET PLACE ได้ในทุกด้าน ทั้งที่ใช้ทุนสร้างถึง 45 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่กลับไม่สามารถสร้างบรรยากาศกดดันแบบไซไฟทริลเลอร์ ผู้ชมไม่รู้สึกผูกพันกับตัวละคร ระดับเคมีความเข้ากันของตัวละครหลักทั้งสองคน (เล่นกันแค่ 2 คน) คือ 0

ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเขียนบทให้เด็กผู้หญิงพูดภาษาอื่น เพราะนอกจากจะไม่ช่วยเสริมอะไรให้กับเรื่องแล้ว ยังทำให้เรารู้สึกรำคาญทุกครั้งที่ทั้งคู่พยายามสื่อสารกัน (นี่มันภาพยนตร์ความยาว 90 นาที ไม่ใช่ซีรีส์โทรทัศน์ที่จะมีเวลาฝึกสอนภาษากันจนกว่าจะเข้าใจ)

ส่วน Mills ก็มีบทอธิบายเรื่องต่างๆ ให้เธอฟัง ซึ่งเธอฟังไม่รู้เรื่อง กลายเป็น Mills กำลังอธิบายทุกอย่างให้ผู้ชมฟัง ราวกับว่าผู้ชมมีสติปัญญาเท่ากับเด็กผู้หญิง ทั้งที่เรื่องราวทั้งหมดมันธรรมดามากจนงง ว่าผ่านการอนุมัติออกมาสู่สาธารณชนได้อย่างไร

ส่วนที่แย่สุดคือช่วงท้าย Mills เปิดเผยความจริงว่าลูกสาวของเขาตายไปแล้ว! มันคือสิ่งที่ทำให้ผู้ชมเชื่อมาตลอดทั้งเรื่องว่า เขาพยายามอดทนต่อสู้ทุกวิถีทาง ก็เพื่อเอาชีวิตรอดกลับไปพบกับลูกสาวอีกครั้ง…

แล้วนี่แกมาขับยานเพื่ออะไร นอนตีพุงอยู่บ้านไปสิ หรือนายไปกู้เงินนอกระบบมาจ่ายค่ารักษาลูกจนต้องมารับงานใช้หนี้

แม้จะมีนักแสดงนำที่มีฝีมืออย่าง Adam Driver ก็ไม่สามารถช่วยภาพยนตร์ที่มีบทแย่ๆ เอาไว้ได้ คือถ้าบทมันจะไม่สมจริงขนาดนี้ น่าจะทำเป็นไซไฟแนวเหนือจริง หรือตลกบ้าบอแบบหลุดโลกไปเลย อาจทำให้มันกลายเป็นเรื่องที่น่าจดจำก็ได้

การที่ผู้กำกับพยายามสร้างบรรยากาศที่ดูสมจริง แต่องค์ประกอบทั้งหมดมันดูไม่น่าเชื่อ ทุกอย่างมันก็เลยดูขัดแย้งกันไปหมด ตั้งแต่การกำหนดให้ตัวเอกของเรื่องไม่ใช่มนุษย์โลก (แต่พูดภาษาอังกฤษ และยังมีบุคลิก การตัดสินใจเหมือนมนุษย์) และพวกเขาก็ไม่ใช่บรรพบุรุษของมนุษย์ (ตอนจบทั้งคู่หนีออกมาได้สำเร็จ) แล้วยังพยายามลอกเลียนแบบ JURASSIC PARK ทั้งฉากรอยเท้าขนาดใหญ่ของ T-Rex และอื่นๆ อีกมากมาย

65 เข้าฉายในสหรัฐอเมริกา วันที่ 10 มีนาคม 2023 และมีกำหนดเข้าฉายในประเทศไทย วันที่ 12 เมษายน