เปิดเรื่องได้อย่างน่าตื่นเต้น เมื่อเจ้าหน้าที่ CIA (John David Washington) เข้าร่วมทีมกับเจ้าหน้าที่รัสเซียเพื่อชิงวัตถุปริศนา ระหว่างที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายบุกเข้ายึดโรงละครโอเปร่าใน Kyiv ท่ามกลางความโกลาหลเขาก็สามารถช่วยเหลือเป้าหมายออกมาได้ แต่กลับถูกตลบหลังและจับตัวไปทรมานเพื่อเค้นข้อมูลลับ เขาฉวยโอกาสกินยาเพื่อฆ่าตัวตาย และเขาก็พบว่า ยาที่เขากินเข้าไปทำให้เขาเหมือนตายไปชั่วขณะ ความจริงแล้วเป็นการทดสอบที่ทำให้เขาผ่านเข้าองค์กรลับ

ในอนาคต มีผู้ที่พัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถทำให้เวลาของวัตถุเดินถอยหลังได้ และวัตถุเหล่านั้นก็ถูกส่งจากอนาคตข้ามเวลากลับมา ลูกกระสุนปืนที่ถอยหลังกลับมีพลังทำลายล้างมากกว่ากระสุนปกติถูกส่งกลับมาขายในตลาดมืด ตัวเอกของเรื่องได้รับมอบหมายให้ค้นหาว่าใครเป็นผู้ผลิตกระสุนเหล่านี้

หลังจากที่ทราบข้อมูลของพ่อค้าอาวุธในอินเดียซึ่งเป็นผู้ผลิตกระสุน ทางองค์กรจึงส่ง Neil (Robert Pattinson) มาเป็นผู้ช่วยเพื่อให้เขาปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จ

เขาพบว่า Andrei Sator (Kenneth Branagh) พ่อค้าอาวุธชาวรัสเซียที่มีประวัติเป็นปริศนา เป็นผู้ที่สามารถสื่อสารกับอนาคตได้ และเป็นคนที่ดัดแปลงกระสุนปืนเหล่านั้น แต่การจะเข้าถึงตัวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาต้องหาหนทางผ่าน Kat (Elizabeth Debicki) ซึ่งเป็นภรรยา

สนุกมาก เป็นภาพยนตร์ที่สมกับความเป็น Christopher Nolan

ทุกครั้งที่ดูภาพยนตร์ของเขามักจะพบกับสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อย่างในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เต็มไปด้วยเทคนิคที่นั่งดูไปก็รู้สึกตื่นตะลึงว่าฉากนั้นฉากนี้คิดคอนเส็ปและถ่ายทำกันได้อย่างไร แต่ Laura (Clémence Poésy เป็นที่รู้จักกันจากบท Fleur Delacour ใน Harry Potter) กล่าวไว้ว่า “Don’t try to understand it. Feel it.”

การแสดงที่น่าประทับใจที่สุดของเรื่องคือการแสดงของ Robert Pattinson กับบทผู้ช่วยของตัวเอก ความเข้ากันดีของเขาและ John David Washington ทำให้ทุกครั้งที่สองคนนี้มาอยู่ในฉากเดียวกันคือความบันเทิงอย่างแท้จริง ทำเอาบทของ Elizabeth Debicki ดูด้อยไปเลยทั้งที่เป็นดาราคนโปรด บทนี้ของเธอไม่ค่อยต่างกับบทที่เธอเล่นในซีรีย์ The Night Manager เท่าไหร่ — มี Aaron Taylor-Johnson โผล่มาด้วย แต่บทตัวประกอบไปนิด หนวดเคราเฟิ้มเหมือนในภาพยนตร์ Nocturnal Animals

งานกำกับภาพที่งดงามฝีมือ Hoyte Van Hoytema (AD ASTRA, DUNKIRK, SPECTRE, INTERSTELLAR, HER, TINKER TAILOR SOLDIER SPY, LÅT DEN RÄTTE KOMMA IN) บรรยากาศจริงกับสถานที่จริงที่ยกทีมกันไปถ่ายใน London, Italy, Norway, Estonia และ India — ฉากต่อสู้และฉากแอคชั่นที่ไม่เคยเห็นมาก่อน กับงานสเปเชียลเอฟเฟคที่ยอดเยี่ยมสมกับทุนสร้างที่ทะลุ 200 ล้านเหรียญ รวมกับดนตรีประกอบฝีมือ Ludwig Göransson (Black Panther, Creed ทั้งสองภาค, VENOM รวมถึงงานล่าสุดอย่าง THE MANDALORIAN) ก็ทำออกมาได้อลังการไม่แพ้ Hans Zimmer หรือ Clint Mansell เลย โดยเฉพาะฉากของ Blue Team ที่ดนตรียังเล่นถอยหลังอีกด้วย

นับเป็นภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การไปชมในโรงภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะหาได้

ในต่างประเทศมีนักวิจารณ์และผู้ชมจำนวนมากที่รู้สึกไม่พอใจ กับการที่พวกเขาไม่ได้ยินเสียงพูดของตัวละครในหลายฉาก ที่มีการใช้เสียงดนตรีและเอฟเฟคที่ดังจนแทบจะกลบเสียงพูด แต่ในโรงภาพยนตร์ไทยเราไม่พบปัญหานี้เพราะเรามี subtitle ¯\_(ツ)_/¯

ภาพยนตร์ของ Christopher Nolan แทบจะไม่มีการใช้ ADR (Automated Dialogue Replacement) หรือการใช้เสียงของนักแสดงที่บันทึกในห้องอัดสตูดิโอ เพื่อนำไปทับบนเสียงที่บันทึกขณะการถ่ายทำ ดังนั้นเสียงที่เราได้ยินจากในภาพยนตร์ของเขาก็จะเป็นเสียงที่อยู่ในช่วงเวลาของการถ่ายทำจริงๆ อีกทั้งการใช้ฉากจริง ระเบิดจริง เครื่องบินชนตึกจริง โดยไม่ใช้ special effects หรือ digital green screen มาใส่เพิ่มทีหลัง ก็ยิ่งทำให้ภาพยนตร์ของเขาดูสมจริงขึ้นไปอีก

TENET เข้าฉายในประเทศไทยวันที่ 27 สิงหาคม 2020