Aladdin
Guy Ritchie
(2019)
Aladdin มาจากหนึ่งในนิทานพื้นบ้านของตะวันออกกลางที่ถูกรวบรวมเป็นเล่มชื่อว่า One Thousand and One Nights หรือที่รู้จักกันในชื่อ Arabian Nights ซึ่งในต้นฉบับภาษาอาราบิค أَلْف لَيْلَة وَلَيْلَة ถูกรวบรวมขึ้นในช่วง Golden Age ของอิสลาม ไม่ได้มีเรื่อง Aladdin อยู่ในนั้น แต่ถูกเพิ่มเข้ามาในฉบับแปลภาษาฝรั่งเศส Les mille et une nuits โดย Antoine Galland มีทั้งหมด 12 เล่ม ดีพิมพ์ในช่วงปี 1704 – 1717
หลังจากที่ถูกแปลจากภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาอังกฤษในช่วงปี 1706 – 1721 เรื่อง Aladdin ก็กลายเป็นหนึ่งในเรื่องที่ทุกคนสามารถจดจำและพูดถึงมากที่สุดใน One Thousand and One Nights
Disney รีเมคแอนิเมชันปี 1992 ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งด้านคำวิจารณ์และรายได้ที่มากกว่า 500 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ยังได้ Academy Awards สำหรับเพลงประกอบ และ เพลงออริจินัลอย่าง A Whole New World
ตัวเนื้อเรื่องจะคล้ายฉบับแอนิเมชัน แต่มีบางอย่างถูกดัดแปลง หลายอย่างที่ถูกตัดออกไป และมีหลายอย่างที่ถูกเพิ่มเข้ามา ซึ่งบางอย่างก็ดี บางอย่างก็แย่มาก — เข้าใจว่าเมื่อแอนิเมชันกลายเป็นคนจริงแสดง มันก็จะมีข้อจำกัดบางอย่างเพื่อความสมจริง — ฉากเปิดที่เป็นพ่อค้าร้องเพลง Arabian Nights ก็กลายเป็น Will Smith ร้องและเนื้อเพลงก็ถูกดัดแปลงไปจากต้นฉบับเดิม — เราไม่ได้เห็นฉากแมลงสีทองบินไปในทะเลทรายที่ไม่มีจุดสังเกตใดๆ แล้วกลายเป็นดวงตาของทางเข้า Cave of Wonders และสามารถสลายกลายเป็นทรายได้ ซึ่งในฉบับ 2019 ก็กลายเป็นถ้ำบนหน้าผาที่ดูแสนธรรมดา
ไม่มีฉากที่ Jafar (Marwan Kenzari) ปลอมตัวเป็นคนแก่เพื่อหลอก Aladdin (Mena Massoud) ให้ไปหยิบตะเกียง ในฉบับแอนิเมชันยังดูสมจริงกว่าตรงที่ Aladdin และ Jafar ไม่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ตอนที่พบกันอีกครั้งในวัง หลังจากที่ Aladdin กลายเป็นเจ้าชายแล้ว — ยิ่งไปกว่านั้น Iago กลายเป็นแค่นกแก้วโง่ๆ ปราศจากความโรคจิต
ส่วนที่ชอบคือเมือง Agrabah ทำออกมาได้ละเอียด สวยอลังการกว่าในฉบับแอนิเมชันมาก — ฉากเพลง Prince Ali ทำได้ดีมาก แม้ว่า Genie (Will Smith) จะไม่ได้แปลงร่างเป็นแพะหรือเด็ก — ชอบฉากเต้นรำของ Jasmine (Naomi Scott) และ Aladdin ในวังที่ถูกเพิ่มเข้ามา อันนี้ดีกว่าต้นฉบับอีก — ฉากพรมวิเศษ A Whole New World สวยงามมาก แม้ว่าจะไม่ได้บินไปกำแพงเมืองจีนหรือปิระมิดกีซ่า (ซึ่งในความจริงก็ไม่น่าจะบินไปได้นะ เพราะต้องบินด้วยความเร็วเหนือเสียงไปอีก) ฉากเมือง Agrabah ที่สวยงามตอนกลางคืนก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม — Magic Carpet พรมวิเศษทำออกมาได้ดีมาก ดูมีคาแรกเตอร์มากกว่า Iago และ Abu อีก
ส่วนที่ไม่ค่อยชอบคิอ Will Smith มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ยังไม่สุด มันเป็น Genie ที่เหมาะกับการนั่งดื่มคอกเทล มากกว่าจะมาเล่นแบบยิ่งใหญ่ระดับที่ Robin Williams เคยทำไว้ — ส่วนที่ไม่ขอบที่สุดคือเพลงใหม่ชื่อ Speechless ที่แต่งเนื้อร้องโดย Pasek and Paul (LA LA LAND, The Greatest Showman, Dear Evan Hansen) ให้ Jasmine ร้อง และพวกเขาต้องการให้เรารู้ว่ามันเป็นเพลงใหม่ ด้วยการให้เธอร้องถึง 2 รอบ! รอบที่สองเหมือนทุกคนโดน Decimation (Thanos’s snap) กลายเป็นฝุ่นผง ปล่อยให้นางร้องเพลงอยู่คนเดียว (ยังสงสัยว่าตรงจุดนี้ความสมจริงมันอยู่ที่ไหน) ฟังจบแล้วคนดูก็ speechless ไปด้วยความงงว่า มีฉากร้องเพลงนี้เพื่ออะไร
ไม่มีเพลง Prince Ali (Jafar Reprise) ฉากที่เผชิญหน้ากันครั้งสุดท้ายก็ไม่มีความน่าจดจำ ไม่ได้มีความระทึกตื่นเต้นแบบในแอนิเมชัน ทุกคนที่เคยดูแอนิเมชันคงสามารถจำฉากที่ Jafar ใช้เวทมนต์ส่ง Jasmine เข้าไปอยู่ในนาฬิกาทราย และเปลี่ยน Abu กลายเป็นลิงของเล่น แล้วยังแปลงร่างเป็นงูยักษ์ มันเป็นฉากที่ระทึกมาก — อันที่จริงคนที่แสดงเป็น Jafar ก็ดูหน้าตาไม่ค่อยชั่วร้ายเท่าไหร่ด้วย