ภาพยนตร์แนวไซโคทริลเลอร์ เรื่องราวของกลุ่มนักต้มตุ๋น และแผนการที่ถูกวางไว้อย่างซับซ้อนแยบยล เพื่อชิงทรัพย์สมบัติของนักธุรกิจมหาเศรษฐี
SHARPER
Benjamin Caron
(2023)
Tom (Justice Smith) เจ้าของร้านขายหนังสือมือสองในนครนิวยอร์ก ได้พบกับ Sandra สาวสวยนักศึกษาปริญญาเอก ซึ่งเข้ามาหาซื้อหนังสือ THEIR EYES WERE WATCHING GOD ของ Zora Neale Hurston นักเขียนชาวอเมริกัน ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1937 เพื่อนำไปเป็นของขวัญให้กับศาสตราจารย์
Tom รู้สึกสะดุดตาเธอตั้งแต่แรกเห็น ส่วน Sandra ก็ดูเหมือนจะสนใจเขาเช่นกัน ทั้งคู่เริ่มสานสัมพันธ์กัน จนกระทั่งวันหนึ่ง Sandra บอก Tom ว่าพี่ชายของเธอติดการพนัน มีหนี้มากมายถึง 350,000 เหรียญสหรัฐ และอาจถูกฆ่าทิ้ง ถ้าหาเขาไม่สามารถหาเงินมาจ่ายคืนได้
ด้วยความเชื่อใจคนรัก Tom จึงยอมเปิดเผยว่าพ่อของเขามีเงินมากมาย และเขาสามารถเบิกเงินสดเพื่อให้เธอเอาไปใช้หนี้แทนพี่ชายได้ แต่หลังจาก Sandra เดินทางนำเงินสดไปส่งให้กับเจ้าหนี้ เธอก็หายตัวไปอย่างปริศนา โดยไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
ความจริงแล้ว Sandra เคยติดยาและยังมีคดีติดตัวหลายคดี เธอได้รับการช่วยเหลือจาก Max (Sebastian Stan) นักต้มตุ๋นที่กำลังค้นหาคู่หูสำหรับงานต่อไป เขามองเห็นศักยภาพในตัวเธอ จึงรับมาเป็นลูกศิษย์ฝึกสอนศิลปะการต้มตุ๋น เทคนิคทางจิตวิทยาที่จะทำให้เหยื่อตกหลุมพราง
แต่ก่อนที่ Max จะพบกับ Sandra เขาเคยเป็นคู่หู่ของ Madeline (Julianne Moore) ผู้หญิงที่แสดงตัวเป็นสาวสังคมชั้นสูง โดย Max รับบทเป็นลูกชายเจ้าปัญหา เพื่อตบตา Richard Hobbes (John Lithgow) นักธุรกิจเศรษฐีพันล้าน หลอกล่อให้ Richard ตัดสินใจมอบเงิน 600,000 เหรียญ เป็นค่าจ้างให้เขาเลิกสร้างความลำบากใจให้กับ Madeline และออกไปจากชีวิตของเธอซะ แต่ Madeline ยังมีจุดประสงค์ส่วนตัวเก็บซ่อนไว้อีกชั้น
ผลงานภาพยนตร์ยาวเรื่องแรกของ Benjamin Caron ผู้กำกับละครโทรทัศน์ชาวอังกฤษ ที่เคยฝากผลงานผ่านตามาแล้วหลายเรื่อง อาทิ ANDOR, THE CROWN และ SHERLOCK กับบทภาพยนตร์ฝีมือ Alessandro Tanaka และ Brian Gatewood คู่หูนักเขียนบทละคร ที่เคยมีงานเขียนบทภาพยนตร์ก่อนหน้านี้เพียง 1 เรื่อง ซึ่งก็เรียกได้ว่าเป็นนักเขียนหน้าใหม่ของวงการภาพยนตร์
SHARPER ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องเป็นองก์ โดยที่แต่ละตอนจะเป็นการแนะนำตัวละคร ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับตอนก่อนหน้า แต่การเดินเรื่องจะไม่ได้ต่อเนื่องตามเวลา ผู้ชมต้องนำข้อมูลที่ได้รับมาไปเรียงร้อยกันเอง ว่าตอนไหนมาก่อน ตอนไหนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง ส่วนตัวไม่ค่อยชอบการเล่าเรื่องแบบนี้ เพราะถ้าบทไม่แข็งแรง และผู้กำกับฝีมือยังไม่ถึง มันก็จะกลายเป็นแค่ภาพยนตร์ที่ใช้เทคนิค เพื่อกลบเกลื่อนจุดบกพร่อง หรือความไม่สมจริงนั่นเอง
ถ้าจะดูให้สนุกก็คงต้องใช้ suspension of disbelief หรือการที่ผู้ชมต้องเชื่อว่าสิ่งที่อยู่ในภาพยนตร์คือความจริง แม้ว่ามันจะขัดกับตรรกะ หรือสิ่งที่ผู้ชมรู้ว่ามันไม่จริง อาทิ เราต้องเชื่อว่า นักธุรกิจที่ร่ำรวยระดับพันล้าน จะไม่จ้างนักสืบเพื่อค้นประวัติตรวจสอบคนที่เข้ามาใกล้ชิดเขา เราต้องเชื่อว่าความรักความหลง สามารถบังตาจนมองไม่เห็นความจริง หรือเราต้องเชื่อว่า Max สามารถฝึกสอนคนติดยาให้กลายมาเป็นนักต้มตุ๋นระดับโปร ได้ในระยะเวลาสั้นๆ (นี่มันยิ่งกว่า MI6 แล้ว)
ส่วนที่ชอบคือช่วงบทแรก ที่เป็นเหมือนภาพยนตร์รักโรแมนติก ดูน้ำเน่า แต่ก็ไม่แย่ เมื่อเทียบกับบทสรุปตอนจบ ที่ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมารองรับการกระทำ และการตัดสินใจที่แปลกประหลาด ราวกับคนเขียนบทหาจุดหักมุมไม่เจอ หรือไม่รู้จะไปยังไงต่อ แต่เวลาใกล้หมดแล้ว ก็เลยต้องรีบอัดทุกอย่างเข้ามา เพียงเพื่อให้มันจบแบบมีความสุข
SHARPER เข้าฉายในสหรัฐอเมริกา วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2023 ภายใต้ลิขสิทธิ์ของ A24 ก่อนจะปล่อยสตรีมมิงทาง Apple TV+ ตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์