Shaun the Sheep MOVIE
Mark Burton • Richard Starzak
(2015)
ภาพยนตร์สต็อปโมชั่นจากอังกฤษ ซึ่งต่อยอดมาจากซีรีย์โทรทัศน์ Shaun the Sheep ของ Nick Park ตัวซีรีย์โทรทัศน์ฉายมาตั้งแต่ปี 2007 จนถึงปัจจุบัน คิดว่าหลายคนน่าจะคุ้นหน้าตาตัวละคร เพราะว่ามันคือ spin-off มาจาก Wallace and Gromit ที่ฉายทางช่อง BBC One มาตั้งแต่ปี 2002 และยังมีภาพยนตร์ออกมาอีกหลายภาค ภาคล่าสุดคือ Wallace & Gromit: The Curse of the Were-Rabbit (2005)
Shuan เป็นแกะที่อาศัยอยู่กับฝูงแกะในฟาร์ม Mossy Bottom มันรู้สึกเบื่อกับกิจกรรมตที่ซ้ำซากจำเจในแต่ละวัน ที่ต้องตื่นมา แล้วออกไปเดินที่ทุ่งหญ้า กลับมานอน ชีวิตวนไปวนมาอยู่แค่นี้
อยู่มาวันหนึ่ง Shaun เห็นป้ายโฆษณา มันจึงเกิดความคิดที่จะหลอกล่อให้ชาวนาเจ้าของฟาร์มให้หลับด้วยเทคนิคนับแกะกระโดดข้ามรั้ว เพื่อที่มันจะได้มีวันหยุดพักผ่อนสบายๆ
แต่เกิดความผิดพลาด เมื่อพวกมันนำชาวนาไปนอนในรถบ้าน แต่รถเกิดไถลลงจากเนินไปตามถถนนที่มุ่งสู่เมือง โดยมี Bitzer สุนัขของฟาร์มตามไปเพื่อพยายามหยุดรถ แต่ก็ไม่สำเร็จจนรถคลาดสายตาและไปหยุดอยู่กลางสี่แยกในเมือง
นับเป็นโชคดีที่รถของชาวนาไม่ได้ชนกับรถคันอื่น แต่โชคร้ายก็คือขณะที่เขาก้าวออกจากรถ ก็ถูกไฟถนนตกใส่ศีรษะและถูกนำตัวไปโรงพยาบาล ผลจากการกระแทกทำให้เขาความจำเสื่อม จำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร ส่วน Bitzer ที่เป็นสุนัขก็ไม่สามารถเข้าไปในโรงพยาบาลได้ มันจึงได้แต่เฝ้ารออยู่หน้าโรงพยาบาล
Shaun และฝูงแกะ เฝ้ารอชาวนาที่ไม่กลับมาสักที มันจึงตัดสินใจแอบขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางเข้าเมืองไปตามหาชาวนา แต่เรื่องราวยิ่งวุ่น เมื่อฝูงแกะที่เหลือแอบตามมาด้วยรถบัสอีกคัน
ด้านชาวนาที่ความจำเสื่อมก็แอบหนีออกจากโรงพยาบาล เดินเร่ร่อนผ่านร้านตัดผม เมื่อเขาเห็นปัตตาเลี่ยนในร้าน เขาก็เกิดความรู้สึกคุ้นเคย ความทรงจำที่ลางเลือนว่าเขาเคยใช้มันมาก่อน จิตใต้สำนึกทำให้เขาเดินเข้าไปหยิบปัตตาเลี่ยน และใช้มันตัดผม celebrity คนหนึ่งที่บังเอิญเข้ามาอยู่ในร้านตอนนั้นพอดี
ปรากฏว่าคนดังคนนั้นชอบมาก ทำให้เหล่าแฟนๆ และผู้คนมากมายหลั่งไหลมาให้เขาตัดผม จนสื่อมวลชนตั้งให้เขาเป็น hair stylist ที่โด่งดังในชื่อ Mr. X
รายละเอียดของสต็อปโมชั่นในภาพยนตร์มันมหัศจรรย์มาก ดูแล้วทึ่งว่าทำได้ยังไง เท่าที่เคยอ่านมา ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้อนิเมเตอร์ ถึง 20 คนและในแต่ละวันสามารถถ่ายทำได้ 40 วินาทีเท่านั้น
การเล่าเรื่องทำได้น่าติดตาม แม้จะมีบางช่วงที่รู้สึกยืดไปนิด เพลงประกอบและเสียงประกอบก็เข้ากันได้อย่างดี กับภาพยนตร์ที่แทบจะไม่มีบทพูดเลย ตัวละครในเรื่องก็ไม่ได้พูดภาษาอังฤษ มีเพียงแค่ตัวหนังสือเท่านั้นที่เป็นภาษาอังกฤษ